วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีการสังเกตุคน



สวัสดีครับไม่ได้เขียนมานานพอดูครับ  อยากบอกว่าช่วงนี้ผมกำลังยุ่งๆ มากครับ  กำลังพยายามสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับตัวเองอยู่  หลายสิ่งที่ผ่านไปนี้ผมรํู้สึกว่ามีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของผมมาก  การที่คนเรารู้จักวางตัว  และมองคนอื่นในเเง่ที่ดี  มันก็ส่งผลที่ดีกับตัวเราเป็นอย่างมาก  ทำไมเหรอครับ  ก็เพราะว่านั่นหมายถึง  มันทำให้เราเป็นคนที่รู้จักเปิดใจรับรู้ และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในตัวคุณเองตลอดเวลา  นะครับ  เอาละครับ เข้าเรื่องกันดีกว่าผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมาครับ  ชื่อเรื่อง สร้าง แบรนด์ ด้วยตัวคุณเอง แล้วเขาสอนเกี่ยวกับการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนให้ดู พอจะสรุปได้ 12 หัวข้อ เเละผมมองว่ามันเป็นจริงและน่าสนใจมากๆครับ 

1.คุณนั่งตรงข้ามกับลูกค้าของคุณในที่ทำงานและเขานั่งกอดอดพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้
คำตอบ  โดยทั่วไปการกอดอกหมายถึงการปฎิเสธหรือไม่ยอมรับ  เขากำลังอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด  หรือสิ่งที่คุณกำลังโน้มน้าวอยู่

2.ลูกค้าโน้มตัวเข้าหาคุร  กางแขนออก ซะโงกเหนือโต๊ะเข้ามา
คำตอบ  การโน้มตัวมาข้างหน้าหมายถึงความสนใจหรือเห็นด้วย  เขารู้สึกดีกับคุณ  เพื่อให้แน่ใจ  ลองดูว่ารูม่านตาขยายตุวเปิดกว้างขึ้นด้วยหรือไม่

3.ในระหว่างการสนทนา  มือของลูกค้ายังอยู่บนโต๊ะ  แต่ตัวเอียงไปทางอื่น
คำตอบ  การเอนตัวหนีอาจจะหมายถึงการไม่เห็นด้วย แต่คุณต้องสังเกตอาการอย่างอื่นประกอบกัน  เพราะมันอาจจเป็นเพียงแค่เขาขยับท่านั่งเท่านั้นเอง

4.เมื่อคุณกำลังคุยอยู่กับเขา  เขาแบมือหงายขึ้นมา
คำตอบ  การแบมือหงายขึ้นหมายถึงความซื่อสัตย์และเปิดกว้าง  อย่างไรก็ตาม  ถ้ามันดูเกินเลยความจริง  มันอาจจะกลายเป็นความเสเเสร้งได้  ยกตัวอย่างเช่น  ใครบางคนแบมือหงายขึ้นพร้อมกับยักไหล่แล้วพูดว่า  "เอาน่า เชื่อฉันเถอะ"

5.เขาใช้ข้อศอกเท้าลงมาบนโต๊ะ  จรดปลายนิ้วมือทั้งหมดเข้าหากัน
คำตอบ  การจรดปลายน้ิวเข้าหากันเป็นสัญญาณว่า กำลังอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าและเต็มไปด้วยความมั่นใจ คุณสามารถใช้ภาษากายนี้ในการควบคุมการประชุมได้  มันเป็นภาษากายที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุดแม้แต่กับคนที่ไม่ค่อยแสดงท่าทางออกมา

6.คุณกำลังคุยกับลูกค้า  แต่เขากลับเอนตัวลงพิงพนัก  ไขว้มือรองศรีษะเอาไว้
คำตอบ  เอามือหนุนศรีษะเอาไว้ข้างหลัง  หมายถึงความได้เปรียบอย่างสูงสุด มันแปลได้ว่า  "ฉันกำลังควบคุมที่นี่อยู่" หรือไม่ก็ "แกหลอกฉันไม่ได้หรอก"และถ้าขาของเขาไขว้ห้างเป็นรูปเลข 4 อีกด้วย มันยิ่งแสดงถึงความหยิ่งผยองว่า "สักวันแกคงเก่งเหมือนกับฉันได้หรอก"

7.ลูกค้าของคุณยกมือขึ้นปิดปากในระหว่างที่พูดไปด้วย
คำตอบ  การใช้มือลูบคลำปากในขณะที่พูด  หมายถึงความไม่แน่สิ่งที่พูดออกมา  เหมือนกับเธอพยายามที่จะปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้  สังเกตว่า  สำหรับพวกเด็กๆ จะใช้มือปิดสนิททั้งปากพวกวัยรุ่นจะเพียงแค่เเตะริมฝีปากเท่านั้น  ส่วนสำหรับผู้หญิง  ก็อาจจะกลายเป็นการลูบคลำคางหรือฝีปากนานๆ ครั้งนั่นเอง

8.คุณกำลังพูด  แต่ลูกค้าของคุณยกมือขึ้นปิดปากแทน
คำตอบ  แต่ถ้าเป็นคนฟังเอามือปิดปาก  มันอาจจะหมายถึงเขามีสิ่งที่อยากจะพูดออกมา  หรือไม่ก็คิดว่าคุณกำลังไม่ได้พูดความจริงหรือไม่ก็รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

9.ลูกค้าของคุณพูดไปด้วย  ยกมือขึ้นถูใบหูไปด้วย
คำตอบ  การถูใบหู จมูก หรือคาง หรือว่าทำเป็นเก็บเศษฝุ่นผงออกจากเสื้อคลุม ล้วนแล้วต่างก็มีข่าวสารอย่างเดียวกัน  พวกเขาหมายถึงกำลังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจหรือรู้สึกไม่สบายกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่  หรือไม่ก็กำลังเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

10.คุณกำลังพูดอยู่  แต่ลูกค้าของคุณ  ทั้งๆ ที่กำลังนั่งอยู่ด้วยเช่นกันแต่กลับวางมืออยู่บนต้นขาหรือเข่า  แสดงท่าทางว่ากำลังจะลุกขึ้นอยู่เดี๋ยวนั้น
คำตอบ  วางมือเอาไว้เหนือเข่าหรือต้นขา  หมายความว่าเขาต้องการจะลุกขึ้นและจบการสนทนาลง

11.คุณกำลังพูดอยู่ในที่ประชุม  ใครบางคนยกศอกขึ้นเท้าโต๊ะกำหมัดถูกับแก้มของตนเองไปมา
คำตอบ  ภาษากายแบบนี้หมายความถึงการเบื่ออย่างสุดๆ  และม่มีความสนใจเลย  ถ้าคุณเห็นอาการแบบนี้เกิดขึ้นในระหว่างการประชุม  จงลุกขึ้นแล้วใช้ฟลิบชาร์ตเพื่อกระตุ้นความสนใจในทันที

12.เขากำลังพูดพร้อมกับหมุนปากกาเล่นไปมา
คำตอบ การให้ความสนใจในสิ่งอื่นในระหว่างที่พูด  หมายถึงความรู้สึกลำบากใจหรือขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับ  ยังไงลองเอาไปศึกษาวิเคราะห์ดูนะครับ  การเรียนรู้ตนเองยังไงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะรู้จักผู้อื่นได้ดีครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Digital stand out






เช้าวันนี้อากาศดีครับ  รู้สึกมีความสุขมากกับการใช้ชีวิต   เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557
ผมได้รับโอกาสไปนั่งฟังสัมมนา ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท  11  เกี่ยวกับเรื่องการทำการตลาด Online รู้สึกประทำใจมากครับ วันนี้เอามาฝากให้เพื่อนได้รับฟังกันด้วยครับ

ช่วงที่ 1 เป็นช่วงแรกของการเข้าสัมมนาได้มีการสัมภาษณ์วิทยากรพอสรุปได้ดังนี้ครับ

1.เมื่อคุณมีความเชื่อเรื่องอะไร ให้คุณประกาศความเชื่อไปเลย
2.ลงมือทำตามความฝัน/ความเชื่อนั้น
3.ทำให้ความเชื่อของเราและเราเป็นเรื่องเดียวกัน

วิธีการสร้าง Personal Branding
1.สร้างความโดดเด่นให้คนจำเป็น
2.ความชอบ/งานอดิเรก/สร้างและพัฒนาจากสิ่งที่เราชอบบอกต่อผ่านโลก Online สร้างพื้นที่ทำด้วยใจที่สร้างสรรค์  เงินจะเกิดขึ้นเขาจะสร้างเงินให้คุณเอง
3.ลงมือทำ
4.การสร้างวิสัยทัศน์  "การสร้างคุณค่า"
5.มีให้หมดแต่สำคัญคุณต้องมีบ้านของตัวเอง  www.
6.ต้องรู้ถึงความต้องการของตัวเอง
7.สร้างคุณค่า คืออะไร สร้างคุณค่าให้แตกต่าง
      NEED  = เฉพาะกลุ่ม  = กว้างแค่นิ้วและลึกแค่ไมค์
      MASS = หลากหลาย
8.ตั้งโจทย์แล้วหาผลลัพธ์จำไว้ว่า ทรัพย์สินที่มีมากที่สุด คือ คน

วิธีพูดให้เก่งไม่เท่าการเป็นคนดัง
"การเป็นคนดังนั้นเป็นเรื่องดีถ้าคุณมีเสียง"
Action
1.ความสม่ำเสมอคือหัวใจของความสำเร็จ
2.ชอบฟังเรื่องเล่าของชาวบ้านหรือเป็นนักเล่าเรื่อง
3.การสร้าง Branding
4.รู้จักตั้งคำถาม ง่ายๆๆ
5.จัดอันดับความนิยมของเรื่อง
6.อย่าทำตัวให้น่าเบื่อ ทำตัวให้สนุกสนาน ร่าเริง

" หาหนทางเกี่ยวกับผู้คนให้ได้  จำไว้ว่าคนเรามักนึกถึงตัวเองก่อนเสมอ"



วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

9 เทคนิคเก่งภาษาอังกฤษให้คล่องและเร็ว

               
                           

                ผมได้อ่านข้อความนี้จากเฟสบุ๊คของคุณ บัณฑิต อึ้งรังษี  เกี่ยวกับ 9 เทคนิคเก่งภาษา (ทุกภาษา) ได้ง่ายๆ แค่ปรับ Mindset หรือเรียกสั้นๆได้ว่า  "หลักคิด" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สำหรับการเรียนภาษาแต่กลับเป็นสิ่งที่หลายคนที่เรียนภาษาอยู่มองข้ามกันมากที่สุดหลักคิดสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ "เราคือผู้ลิขิตชะตาของตัวเอง"  ไม่มีใคร หรืออะไรช่วยให้เราเก่งภาษาได้นอกจากตัวเราเองเท่านั้น  ต่อไปนี้ คือ ไอเดียสำคัญในการปรับ Mindset จากหนังสือ "เก่งภาษา 50 ล้าน" มีดังนี้

          1.อยากเก่งภาษาต้องมีแรงจูงใจ Motivation fuels the engine ตอบตัวเองให้ได้ว่า เรียนภาษาไปทำไมเมื่อมีเหตุผลลที่จูงใจมากพอ คุณก็จะมีพลังในการเรียนภาษาที่ทวีคูณ
  
(ประสบการณ์ส่วนตัว)    สำหรับผมแล้ว ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดแต่ก่อน ผมแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยจนพัฒนาตัวเองได้ จากแรงจูงใจที่สร้างให้กับตัวเอง  บอกตัวเองว่า คุยกับฝรั่งได้ มันเท่ห์ดี เราเองก็ทำได้หนี เอาวะ สู้โว้ย จงอย่าดูถูกพลังขับเคลื่อนจากภายในเด็ดขาดเพราะพลังมันทวีคูณกว่าที่คิดไว้มาก
            2.ภาษาไม่ยาก และคุณเองก็เก่งได้  Believe in yourself  เลิกบอกตัวเองว่า "ฉันไม่เก่งภาษา" สู้คนอื่นไม่ได้หรอก แล้วให้พลังความเชื่อในตัวเองว่า "ฉันเก่งภาษาได้และเก่งได้กว่าคนอื่นด้วย"

(ประสบการณ์สวนตัว)  ผมเองมักบอกตัวเองเสมอในทุกเรื่องว่า  ความเชื่อคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ เราไม่มีวันสำเร็จในสิ่งที่เราไม่เชื่อได้อย่างแน่นอน  วันที่ผมเริ่มลุยฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ประโยคที่ผมใช้ปลุกความเชื่อตัวเองคือ... "You can and you will" (No excuss!)  

           3.ตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ -Aim high- ก่อนเรียนภาษา เราควรตั้งเป้าให้ตัวเองว่า "เราจะเก่งภาษาให้ได้แค่ไหน" ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ไม่เวอร์ไป และรู้ว่าทำได้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ถึงเราจะไปไม่ถึงเป้า 100 เปอร์เซนต์ แต่ผลที่ได้คือ "เราเดินหน้าไปสู้ร้อยทุกวัน"

(ประสบการณ์ส่วนตัว) เป้าหมายอันหนึ่งที่ผมเคยตั้งไว้ก่อนเรียนภาษาอังกฤษ คือ "การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเปิดดิก" หลังจากที่ผมตั้งเป้านี้ขึ้นมา  ผมก็ลุยอ่านบทความและหนังสือแนวที่ชอบอ่านในภาษาอังกฤษ โดยพยายามไม่เปิดดิก และใช้บริบทอย่างเดียวเท่านั้น เพราะผมรู้ว่า ไม่มีทางหรอกที่ผมจะรู้ศัพท์ทุกคำได้ในเวลาสั้นผมจึงเลือกสร้างทักษะการเดาความจากคำแวดล้อมเรื่อยๆ จนวันนี้ ผมสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ โดยไม่ต้องเปิดดิกแล้ว  ไม่ใช่เพราะรู้ศัพท์ทุกคำ แต่เป็นเพราะ "ผมฝึกเดาจนชิน"และนี่เอง คือ เหตุผลที่ทุกคนควรมีเป้าหมายก่อนเรียนภาษา

          4.หา Idol เก่งภาษา Find Role Models การมี idol ที่ชื่นชมด้านความเก่งภาษาจะช่วยเราผลักดันตัวเองให้เก่งเหมือน idol เราได้ แค่นึกภาพตัวเองพูดได้คล่องเหมือนกับ idol ของเราบ่อยๆ แค่นี้ก็ช่วยให้ความรู้สึกดีกับเรา และเป็นแรงผลักให้เราเก่งภาษาได้อย่างมหาศาลแล้ว

Tips: ลองหา idol ที่เป็นคนไทย สำเนียงภาษาอังกฤษดีเหมือนเจ้าของภาษาแต่ไม่เคยไปเรียนต่อ หรือ อยู่ต่างประเทศเลย อาศัยแค่การฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเท่านั้นดูสิครับ.. รับรองว่าจะมีกำลังใจให้ตัวเองเยอะขึ้นทันทีและไม่ต้องมีข้ออ้างอีกด้วยว่า "เก่งภาษาอังกฤษไม่ได้สักที เพราะไม่ได้ไปนอก"

            5.ภาษาต้องสนุก Learning should be fun การเรียนภาษาต้องสนุก ไม่เครียด และไม่น่าเบื่อ ยิ่งสนุก>> ยิ่งอยากเรียน>>ยิ่งเก่งขึ้น>>ยิ่งจำ>>ยิ่งหมดสนุก>>ยิ่งลืมง่าย

(ประสบการณ์ส่วนตัว) ผมเองเคยเป็น "นักทอง" มาตอนสมัยเรียนและพบว่าที่ท่องมา ลืมเกือบหมดหลังสอบและหลังเรียนนจบ แถมเอาสิ่งที่จำนั้น ใช้มาช่วยสื่อสารในชีวิตจริงได้ไม่ถึงครึ่งผมเลยตัดสินใจ "เลิกท่อง" แล้วหันมา "คลุกคลี" กับภาษาอังกฤษผ่านสื่อต่างๆที่ตัวเองชอบและสนุก "ทุกวัน" ผมพบว่าเป็นวิธีที่ดีและเร็วที่สุดแถมไม่ฝืนธรรมชาติและไม่รู้สึกเหมือนกำลังเรียนภาษา แต่ "สนุกกับภาษา" ซะมากกว่า 

             6.ซ่อม ซ่อม และก็ซ่อม The more you practice the easier it gets การฝึกฝนบ่อยๆ คือหัวใจของการเก่งภาษา ไม่ใช่ "ผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ" แต่คือ "ผู้ที่มีชั่วโมงบินสูง" 

(คำแนะนำส่วนตัวเเบบง่ายๆ)  
อยากฟังให้ออก...ฟังให้เยอะ
อยากพูดให้คล่อง...พูดให้เยอะ
อยากเขียนให้ดี...เขียนให้เยอะ
อยากอ่านให้รู้เรื่อง...อ่านให้เยอะ

            7.ปูพื้นฐานภาษาด้วยการฟังและอ่าน  Input equals Output  เริ่มปูพื้นฐานภาษาด้วยการฟังและอ่านให้เยอะก่อนแล้วทักษะการพูดและเขียนจะพัฒนาได้ง่ายขึ้น

(ประสบการณ์ส่วนตัว) ผมเองแต่ก่อนเคยมีปัญหาด้านการเขียนแกรมม่ามาจนหลังจากที่เริ่มอ่านหนังสือและบทความภาษาอังกฤษเยอะๆ ทักษะการเขียน และพื้นฐานแกรมม่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยอัตโนมัติและนี่เองคือ เคล็ดลับอีกอย่างของการเก่งแกรมม่าให้เร็ว "อ่านให้เยอะ+เขียนให้เยอะ"

             8.ผิดได้ ไม่เป็นไร  Mistakes are inevitable เป้าหมายของการเรียนภาษา คือ "การสื่อสารให้เข้าใจ"  อย่างมองภาษา เป็นเหมือนข้อสอบที่มี "ถูกและผิด" จนทำให้กลัวและ "อายที่จะผิด"

(ประสบการณ์ส่วนตัว) สมัยก่อน ตอนผมฝึกพูดภาษาอังกฤษใหม่ๆ จะเกิดอาการ "เกร็ง" พูดออกมาเป็นภาษาเขียนเพราะมัวแต่ "กลัวผิด" และนึกแต่ประโยคที่เคยเรียนมา ซึ่งไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลยจนวันหนึ่ง ก็พบกับความจริงที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ว่า "พูดไปเถอะ พูดแบบไม่ต้องคิดมากด้วยนะ ผิดได้ผิดไป แค่เขารู้เรื่อง เกราก็โครตเก่งแล้ว"

             9.การเรียนภาษา ไม่มีวันสิ้นสุด Learning language is a journey of a lifetime การเรียนภาษา ไม่มีเส้นชัย แต่คือการเดินทางไปเรื่อยๆ เจอสิ่งใหม่ๆให้พัฒนาและเรียนรู้ไปแบบไม่มีที่ส้ินสุด จงอย่าหยุดเรียนรู้และอย่าหยุดฝึกฝน

(ประสบการณ์ส่วนตัว) หลังจากที่ภาษาเราพัฒนาได้ดีระดับหนึ่งแล้วภาษาเราจะไม่ดิ่งลงเหวไป เวลาที่ห่างหายไปไม่ได้ใช้ภาษาเป็นเวลานาน แต่ "ภาษาเราจะถดถอยลง" และจำเป็นจะต้องฟื้นฟูใช้เวลาปัดฝุ่นใหม่ เทคนิครักษาภาษาไม่ให้ถดถอยคือ "ลับคมภาษา" บ่อยๆ ง่ายๆ ด้วยการคลุกคลีกับสื่อภาษาที่เรียนเรื่อยๆเมื่อมีโอกาส  แค่นี้ ภาษาก็จะไม่ห่างไกลจากเรา จนต้องใช้คำว่า "รื้อฟี้น" แล้ว

             นี่เเหละครับเป็นเคล็ดลับดีๆที่ผมนำมาฝาก อ่านแล้วผมมีเเรงบันดาลใจเลยว่า ผมจะต้องเป็นคนที่เก่งภาษาเอามากๆ ไม่ว่าภาษาไหนผมผ่านหมด เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ




วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ถ้ามีความตั้งใจ ทำอะไรก็สำเร็จ





             เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสดูรายการเจาะใจ  ได้ฟังคนมาแชร์ประสบการณ์เขาเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ไปโด่งดังที่เมืองนอก  มีค่ายมวยมากกว่า 100 แห่งทั่วโลก  จุดเริ่มแรกของชีวิตเขาก็คือ ความรักในมวยไทย ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ได้มีโอกาสเรียนมวยไทย และขึ้นสังเวียนมาแล้วอย่างมากมาย  จุดเปลี่ยนชีวิตชายผู้นี้คือ การเดินทางไปต่างแดน แล้วได้มีโอกาสได้เผยแพร่มวยไทยจนเป็นที่รู้จักของคนไปทั่วโลก  เป็นเทรนเนอร์ให้กับบุคคลต่างๆมากมาย อาทิ เช่น บอดี้การ์ดของจอร์ช บุช  เจ้าชายซาอุดิอาราเบีย เป็นต้น
              มีประโยคหนึ่งที่ผมรู้สึกประทับใจเขามากนั่นคือ เขาพูดว่า ความพยายาม  ความมุ่งมั่น และไม่เคยถอย   สิ่งนี้ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตต่างแดน  คนเราถ้ามีความตั้งใจจริง  มุ่งมั่น และทำมันไปเรื่อยๆ สักวันผลลัพธ์มันต้องออกมาดีอย่างแน่นอนครับ

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชายตาบอดที่ขี่อยู่บนหลังเสือตาบอด





           หลายคนคงคุ้นเคยประโยคข้างต้นนะครับ มันเป็นเรื่องของคนๆหนึ่งซึ่่งประวัติเขาน่าสนใจมาก วันนี้ผมได้อ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขา  อ่านแล้วทำให้คนตัวเล็กอย่างผมมีแรงบันดาลใจมากขึ้น ขนาดคนอย่างเขาทำได้คนอย่างผมก็ต้องทำได้เหมือนกันซิครับ  บุคคลผู้นั้นก็คือ แจ๊ก หม่า คนจีนที่ไปโด่งดังกลายเป็นเศรษฐีในต่างแดน  ผมรู้สึกทึ่งและอยากจะเอาเรื่องนี้มาแชร์พอสรุปเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขาให้ฟังกันครับ
             1.ถีบตัว  หม่าเกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่เขามีความพยายามมาก ตอนอายุ 12 ปี เขาอาสาเป็นไกด์ให้นักท่องเที่ยวแบบฟรีๆ เพื่อแลกกับการได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ การที่เขาไปใกล้ชิดกับครอบครัวชาวออสเตรเลียที่เป็นเพื่อนนับเป็นการทำให้เราเริ่มเปิดหูเปิดตาและคิดต่าง
             2.มุ่งมั่น หม่า สอบเอ็นทรานซ์ไม่ผ่าน ถึง 2 ครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยครู ในการสอบครั้งที่ 3 และได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน
              3.ไม่ท้อ หลังจากที่หม่าเรียนจบในปี 1988 ก็เริ่มหางานแต่ก็ถูกปฎิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ารวมถึง KFC จึงลงเอยด้วยการเป็นครูสอนภาษา
             4.ตั้งตัว ในปี 1995 หม่า เดินทางไปซีแอตเทิลเพื่อเป็นล่ามให้ตัวแทนการค้า และที่แห่งนี้เองที่เศรษฐีอันดับ 1 ของจีนมีโอกาสลองใช้อินเตอร์เน็ตครั้งแรกอันนำไปสู่การตัดสินใจเปิดเวปไซต์ China pages
             5.ฝ่าฝัน กระทั่งก่อตั้งบริษัท อีคอมเมิร์ซชื่อ อาลีบาบา เมื่อปี 1999 ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของคำจำความที่ว่า  ชายตาบอดที่ขี่อยู่บนหลังเสือตาบอด  และเมื่อไปประกาศหาหุ้นส่วนที่สหรัฐ ก็ไม่มีใครสนใจ
              6.ยืนหยัด  อาลีบาบา ยิ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กระทั่งเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557 ที่ผ่านมาด้วยมูลค่าการซื้อขายถึง 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก
              7.วันสำเร็จ  เขาได้ให้สัมภาษณ์หลังจากนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ว่า  สิ่งที่เราได้ในวันนี้ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่เป็นความไว้วางใจจากประชาชน

              นี่แหละครับคือจุดที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่  คนเราหากรู้จักพัฒนาเองอย่างไม่หยุด  มุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรค์ใดๆ เราก็ต้องไม่ท้อไปเสียก่อน  เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วความสามารถประสบการณ์ที่เราได้สั่งสมมานั้นแหละครับ จะเป็นตัวที่จะสานฝันให้เราและนำพามาซึงความสำเร็จในสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ได้  เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บูติก โฮสเทล




          หวัดดีครับ  เมื่อวานผมได้เข้าสัมมนาเรื่องนี้มารู้สึกว่าธุรกิจนี้น่าสนใจมาก  เลยอยากจะมาแชร์ความรู้ให้กับเพื่อนที่สนใจลองฟังกันดูนะครับ

      บูติก โฮสเทส  ฟังชื่อแล้วอาจจะไม่คุ้นหูนะครับ  ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ธุรกิจห้องพักครับ  แต่ที่ธุรกิจนี้น่าสนใจตรง เน้นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ตราบที่ลูกค้าต้องการ โดยวิธีการหยิบยืมทรัพยาการที่อยู่รอบๆตัวมาเป็นจุดขายให้เกิดภาพลักษณ์ในการจดจำที่ดี  ผมไปนั่งฟังแล้วรู้ได้เลยว่าต่อไปธุรกิจนี้จะนำเงินมาเป็นกอบเป็นกำมากกว่าการลงทุนในการทำธุรกิจโรงแรมใหญ่ๆอีกต่างหาก
เราลองมาดูกรณีตัวอย่างกันนะครับ  เจ้าของผู้ทำการจัดสัมมนาได้แชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ

กรณีศึกษาที่ 1

            ทำเล                  :          โรงรถเก่าใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย
            ค่าเช่า                :           20,000  บาท/เดือน
            สัญญาเช่า        :           3 ปี
            เงินลงทุน          :         500,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           3  ห้อง
         ระยะเวลาคืนทุน  :           1  ปี
         Marketing            :         UPPER MIDDEN   (ไม่ถูกหรือแพงเกินไป)
                      
        เทคนิค                        1.การสร้างจุดขาย
                                            2.การ Save cost ให้ตัวเอง
                                            3.ประหยัดพลังงาน เช่น ไม่ติดแอร์  หาบรรยากาศที่เย็น

        KEY :              ทฤษฎี  3 ห่วงทองคำ
                                 ห่วงที่ 1  ความคิดสร้างสรรค์
                                 ห่วงที่ 2  การทำกำไร
                                 ห่วงที่ 3 ความยั่งยื่น แปลว่า พลังงาน ธรรมชาติ ความรัก เป็นต้น

       ***ทำเลที่ใช้  1. ถูก   2.ประหยัด  3.สร้างจุดขาย**


MODEL BUSINESS

         1. ราคาถูก (ค่าเช่า)  2. บ้านเก่า    3.ตกแต่งถูก 4.ความเป็นคน

แบ่งได้ 2 ส่วน
1.H  =  Hardware   หมายถึง  การตกแต่งภายใน  การจ้างสถาปนิก การออกแบบ 
                                                  การจัดสถานที่
2.S  =  Software      หมายถึง  การให้บริการ การสร้างความประทับใจ  ค่าของความเป็นคน

กรณีศึกษาที่  2 (การเปรียบเทียบราคาของ 2 แบบ)

          1.  KL ในสลัมของมาเลเซีย ทัวร์  เช่าแต่ชั้น 2 จัด Location ให้น่าสนใจ
การนำเสนอ    :   การสื่อสารแบบฉลาด  สร้างจัดด้อยให้เป็นจุดเเข็ง
เสน่ห์              :   ชุมชน  บรรยากาศ
       
           2. เมืองมะละกา (มรดาโลก)  แพงที่สุดในเมือง  
ราคา              :   4,500  บาท/คืน
จำนวนห้อง    :    1 ห้อง
OPTION       :   No
เสน่ห์             ;   วัด ร้านเก่าๆ พาไปดูชุมชน (ความเป็นคน)

**หากจะพักที่นี้ต้องถูกสัมภาษณ์ก่อนถึงจะเข้าพักได้**
ราคา             :   1,000  บาท/คืน
จำนวนห้อง   ;   4 ห้อง
OPTION      :  มี


เปรียบเทียบระหว่าง 2 ที่นี้   ใช้หลัก 80:20

1. ห้องมีรายได้  4,500 บาท/คืน  ให้บริการ  1 คน
2.ห้องมีรายได้   4,000 บาท/คืน  ให้บริการ  4 คน

กรณีศึกษาที่ 3 ของคุณ นพดล สุเนตรตา (ปีก่อสร้าง 2009)


            ทำเล                  :          บ้านเก่าที่เชียงคานย่านชุมชน
            ค่าเช่า                :           ไม่ระบุ
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         600,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           10  ห้อง
         ระยะเวลาคืนทุน  :           3  ปี  (กำไรประมาณ 1,500,000 บาท)
         Marketing            :         UPPER MIDDEN   (ไม่ถูกหรือแพงเกินไป)
                จุดเด่น           :         ภูเขา แม่น้ำโขง ตลาดคลองถ่ม
                จุดด่อย          :          หน้าร้อนลูกค้าจะน้อยลงเนื่องจากทางเหนือเป็นภูเขา
                      
        เทคนิค                      การบริการคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ

   
กรณีศึกษาที่ 4 ของคุณ นพดล สุเนตรตา (ปีก่อสร้าง 2012)


            ทำเล                  :          ห้องแถวย่านข้าวสาร
            ค่าเช่า                :           20,000 บาท/เดือน/ชั้น  (เช่า 3 ชั้น) ฟรีดาดฟ้า
                                                  ชั้นที่ 1  ลอบบี้
                                                  ชันที่ 2  ห้องจำนวน 10 ห้อง
                                                  ชันที่ 3  ห้องจำนวน 10 ห้อง
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         3,000,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           20  ห้อง  1,000 บาท/คืน
         ระยะเวลาคืนทุน  :           1  ปี
         Marketing            :          1.ให้กินข้าวฟรี   และให้ลูกค้าฝากแนะนำต่อ
                                                  2.ค่าอีเจนซี่ให้บริษัททัวร์
                                                  3.ลูกค้า Walk in
                                                  4.จองล่วงหน้าลดให้ 10%
                                                  5.อย่างน้อยใน 1 เดือนต้องขายให้ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนห้องต่อวัน
                                                   ลดไปเลย  และอีกครึ่งหนึ่งค่อยมาขายราคาเต็ม
                                                  6.เน้นการให้บริการ
                                                  7.รายได้อื่นๆ เช่น พาทัวร์  หารถบัส  เที่ยว เบอร์ชัวร์ต่างๆ

                จุดเด่น           :         ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวข้าวสาร
                จุดด่อย          :         เข้าในซอยอาจจะหายากนิดๆ
                      
        เทคนิค                      1.ค่าเช่าต้องไม่เกิน 25% ของรายได้ที่หามาได้
                                          2.ต้องลงสำรวจพื้นที่เอง วัดใจเอา
                                          3.เน้นการตกแต่งภายในสร้างบรรยากาศ  สร้างเรื่องราว คอนเซปห้อง
       ลูกค้าคนแรกของห้อง
               ตอนลงไปเเจกใบปลิ้ว ลูกค้าคนรัชเซีย ซึ่งเมามากครั้งแรกผมก็ไปลากเขามากเลย ถามว่ายูเมามากไหม ปะไปพักกับผมก่อน  เช็คอิน 4 ทุ่ม เช็คเอาน์ 8 โมง ลูกค้าติดใจขออยู่ต่ออีก 6 วัน
ฝรั่งเขาจะมีโปรแกรมพักแบบ Back pack คืออยู่แบบระยะยาว
ประเทศ ฮอนแลนด์ รัฐบาลเขามีเงินชดเชยให้ในกรณีที่ตกงานด้วย คือพูดง่ายเที่ยวบ้านเราแบบประหยัดได้เลย 6 เดือน  แล้วไปตกงานต่อ 555++
                          
       
กรณีศึกษาที่ 5 ทำแล้วเจ๋ง (ขาดทุน 3 ล้าน  ปี 2011)


            ทำเล                  :          A Vernew
            ค่าเช่า                :           180,000 บาท/เดือน  ชั้นที่ 5              
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         2,000,000 บาท
            จำนวนห้อง       :          5  ห้อง  ห้องละ 2,800 บาท/คืน  2,200 บาท/คืน 16 ตรม.
         ระยะเวลาคืนทุน  :           ขาดทุน 3,000,000  /ต่อปี
         Marketing            :          เน้นความหรูหรา สะดวกสะบาย
                จุดเด่น           :         อยู่ในย่านของฝรั่ง
                จุดด่อย          :         ไม่มีลิฟท์  ไม่ได้สร้าง story ลูกค้าไม่สามารถนำกลับมาใช้
                      
        ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
                        1.ไม่ได้เรียนรู้ให้ดีก่อนทำธุรกิจนี้
                        2.ขาดการบริหารจัดการที่ดีเช่น แม่บ้าน ช่าง
                        3.ลงทุนผิดจุดไม่จำเป็นใช้เงินเยอะ  เช่น ต้นทุนในการจ้างผรม. ระบบท่อน้ำ (ต้นทุนสูง)
                        4.กลุ่มลูกค้า โฟกัสไม่ถูกจุด
                        5.ขาดการจัดการบริหารที่ดี

สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่จำเป็นต้องศึกษา  เพราะนั้นจะนำมาซึ่ง Passive incom จะช่วยในการ Save ค่าใช้จ่าย ลดปัญหาต่างๆเยอะมาก


สิ่งสำคัญที่ควรจำจำในการทำธุรกิจนี้

1. เราจะเริ่มยังไง
2.การเขียนแผนธุรกิจ
3.โมเดลธุรกิจ


                                              "  แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"
                                         


วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ศาสตร์แห่งความร่ำรวย

           สวัสดีครับไม่ได้เขียนมาตั้งนานแล้ว  หลังจากที่ผมกำลังมกหมุ่นอยู่กับบางอย่างทำให้เราคิดอะไรไม่ออกวันนี้ผมรู้สึกว่าเมื่อเราปล่อยวางลงทุกอย่างเหมือนเปิดทางให้เราเลยครับ ผมมีความสุขในชีวิตมาก ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อเรื่อง "ศาสตร์แห่งความร่ำรวย" เขียนโดย วอลเลส ดี. วัตเทิลส์  เขียนไว้ดีมากครับ วันนี้ผมเลยอยากจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนกันครับ เริ่มกันเลยนะครับ
               หนังสือกล่าวว่า จงอย่าคิดว่าคุณต้องเลื่อนการกระทำของคุณออกไปจนกว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจหรือสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง และอย่าเสียเวลาในปัจจุบันไปกับการครุ่นคิดถึงวิธีปฎิบัติที่ดีที่สุดสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆ ในอนาตตจะมีความเชื่อมันมั่นในความสามารถของคุณว่าจะเผชิญหน้ากับทุกๆ  สถานการณ์ได้เมื่อมันมาถึง  หากคุณทำสิ่งใดๆ ในปัจจุบันด้วยจิใจที่คิดไกลไปถึงอนาคต การกระทำในปัจจุบันของคุณจะเป็นไปอย่างไม่เต็มที่และจะไม่ได้ผล จงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดของคุณลงที่การกระทำในปัจจุบัน   คุณไม่มีทางได้รับสิ่งใดเลย  จงลงมือปฎิบัติเสียตอนนี้ และก็จะไม่มีเวลาอื่นใดอีกที่เหมาะสมนอกจากตอนนี้ ถ้าคุณต้องการจะเริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อการได้รับในส่ิงที่คุณต้องการ คุณจะต้องเริ่มต้นในตอนนี้  อย่าได้กังวลใจไปว่างานที่ทำเมื่อวานนี้จะทำได้ดีหรือเลวเพียงใด จงทำงานในวันนี้ให้ดี อย่าพยายามทำงานสำหรับอนาคตในวันนี้ ยังมีเวลาอีกมากมายที่คุณจะทำมันได้เมื่อถึงเวลานั้นมาถึงแล้ว  คุณสามารถลงมือทำภายใต้สภาพเเวดล้อมที่คุณอยู่ในขณะนี้  เพื่อที่จะทำให้ตัวของคุณโยกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นได้
          คุณต้องไม่ทำงานหนักจนเกินไป หรือรีบร้อนดำเนินธุรกิจของคุณเพื่่อพยายามจะทำสิ่งต่างๆ  ให้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ศึกษาดูให้ถ่องแท้ คุณต้องไม่พยายามทำงานของวันพรุ่งนี้ในวันนี้ หรือทำงานสำหรับทั้งสัปดาห์ให้เสร็จภายในวันเดียว แท้จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของสิ่งที่คุณทำ หากแต่เป็น "ประสิทธิภาพ" ของแต่ละการกระทำต่างหาก 
          ทุกการกระทำ คือ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวภายในตัวของมันเอง
          ทุกการกระทำ คือ ความมีประสิทธิภาพหรือความไร้ประสิทธิภาพภายในตัวของมันเอง
 ถ้าคุณใช้เวลาในชีวิตของคุณไปกับการกระทำที่ไร้ประสิทธิภาพ ชีวิตทั้งชีัวิตของคุณจะล้มเหลว  ในการจะทำเช่นนั้น มนุษย์จะต้องก้าวผ่านภาวะจิตใจจากระดับการแข่งขันไปสู่ระดับการสร้างสรรค์ให้ได้  เขาต้องสร้างมโนภาพที่ชัดเจนของสิ่งต่างๆ  ที่เขาต้องการ และทำทุกสิ่งที่สามารถจะทำได้ในแต่ละวันด้วยความศรัทธา ความเชื่อและเป้าประสงค์ โดยการปฎิบัติภารกิจแต่ละสิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ
          อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงและอย่างฉับพลันถ้าหากโอกาสมาถึงตัวคุณ และหลังจากที่ได้คิดดูอย่างรอบคอบแล้ว คุณรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่เหมาะสม  แต่อย่ากระทำการโดยสิ้นเชิงและอย่างฉับพลัน  เมื่อคุณยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการกระทำเช่นนั้น
          เมื่อคุณเกิดความสงสัย และไม่อาจตัดสินใจได้ จงบ่มเพาะการแสดงความกตัญญู  จงทำทุกสิ่งที่คุณสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกๆวัน  แต่อย่าทำด้วยความรีบร้อน ความวิตกกังวล หรือความกลัว จงทำให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้แต่อย่างเร่งรีบ  จำไว้ว่าเมื่อคุณทำสิ่งใดอย่างเร่งรีบ คุณจะไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นผู้เเข่งขัน คุณจะถอยหลังกลับไปสู่ระดับเดิมครั้งหนึง
        เมื่อใดก็ตามที่คุณพบเห็นคนที่ชอบโอ้อวด  นั่นหมายถึงคุณได้พบกับผู้ที่ลึกๆ  ภายในแล้วเต็มไปด้วยข้อสงสัยและความกลัว  ขอให้คุณจงมีเพียงความเชื่อและปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ปล่อยให้ทุกการกระทำ น้ำเสียง และสายตาที่มอง แสดงความเชื่อมั่นออกมาอย่างเงียบๆ ว่าคุณกำลังจะรวยหรือว่าคุณรวยแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ในการสื่อความรู้สึกนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ พวกเขาจะรู้สึกได้เองถึงความเพิ่มพูน เมื่อได้อยู่ใกล้กับคุณ  และจะถูกดึงดูดให้ย้อนกลับมาหาคุณอีก
         จงระวังจิตใจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเอาไว้ให้มากๆ  ไม่มีข้อความใดที่เป็นหลักเกณฑ์เพื่อการปฎิบัติอย่างสร้างสรรค์ จะเหมาะสมยิ่งไปกว่าประกาศิต  ยอดนิยมอันเป็น  "กฎทอง"  ของโจนส์ออฟโทลีโด  ผู้ล่วงลับไปแล้ว  ซึงกล่าวไว้ว่า  "สิ่งที่ข้าฯ ต้องการเพื่อตัวเอง คือสิ่งที่ข้าต้องการเพื่อทุกคน"
         อย่าพยายามทำงานให้เกินกว่าสถานะปัจจุบันของคุณเพื่อเอาใจเจ้านายด้วยความหวังว่าจะทำให้ตัวเองก้าวหน้าได้  จงยึดมั่นในศรัทธาความเชื่อ  และเป้าประสงค์เกี่ยวกับความเพิ่มพูน  ทั้งในระหว่างเวลาทำงาน  หลังเลิกงาน  และก่อนเข้างาน  จงยึดมั่นเช่นนั้นจนกระทั่งทุกคนที่ติดต่อใกล้ชิดกับคุณ  ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน  เพื่อนร่วมงาน  หรือคนรู้จักทั่วไป  สามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังแห้งเป้าประสงค์ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวคุณ  จนทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าและความเพิ่มพูนที่เกิดขึ้นกับคุณ  ผู้คนจะถูกดึงดูดเข้าหาตัวคุณและหากไม่มีโอกสาสของความก้าวหน้าปัจจุบันของคุณ  คุณก็จะมองเห็นโอกสารในหน้าที่การงานใหม่ในไม่ช้านี้
        อย่ารอคอยโอกสารที่จะได้เป็นในส่ิงที่คุณต้องการจะเป็น  เมื่อคุณมีโอกาสที่จะได้เป็นในสิ่งที่กว่าสถานะปัจจุบันของคุณ และคุณรู้สึกมีจิตใจที่โน้มน้าวให้ทำสิ่งนั้น จงคว้าโอกาสนั้นไว้  มันจะเป็นก้าวแรกไปสู่โอกาสที่ดียิ่งขึ้น
       จงจำไว้ว่าความคิดของคุณต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างสรรค์  คุณต้องไม่กลับไปมีความคิดว่าของทุกสิ่งนั้นมีอยู่อย่างจำกัด  หรือหวนกลับไปสู่การกระทำบนพื้นฐานของการแข่งขันอีก  แม้แต่เพียงชั่วขณะ
       เมื่อใดก็ตามที่คุณหวนกลับไปมีความคิดแบบเดิมๆ  จงแก้ไขตัวเองในทันที เพราะว่าหากคุณมีจิตใจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  คุณจะสูญเสียความร่วมมือจาก "ปัญญาทั้งมวล"
       อย่าหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ว่าคุณจะข้ามพ้นอุปสรรคต่างๆ  ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณไปได้อย่างไร  นอกจากคุณจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำในวันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น
       จงระวังคำพูดของคุณ  อย่าพูดเกี่ยวกับตัวเอง  ธุรกิจการงาน หรือเรื่องใดๆ ก็ตามด้วยความท้อแท้หรือในทางที่ชวนให้หมดกำลังใจ
       อย่ายอมรับในความเป็นไปได้ของความล้มเหลว หรือพูดในทางที่แสดงความเห็นว่าความล้มเหลวอาจเกิดขึ้นได้
       จงฝึกฝนตนเองให้คิดและมองโลกว่าเป็นสิ่งซึงกำลังจะเกิดขึ้น  กำลังเติบโตและมองสิ่งซึ่งดูเหมือนจะเลวร้ายว่าเป็นเพียงสิ่งที่จะไม่ได้รับการพัฒนาอีกต่อไปจงพูดถึงความก้าวหน้าอยู่เสมอ เพราะการทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามย่อมหมายถึง การปฎิเสธต่อศรัทธาความเชื่อของคุณ และการปฎิเสธต่อศรัทธาความเชื่อของคุณหมายถึงการยอมแพ้
       เมื่อคุณประสบความล้มเหลว  นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังไม่ได้เรียกร้องมากเพียงพอ จงมุ่งมั่นต่อไปและสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่คุณกำลังแสวงหาอยู่จะมาสู่ตัวคุณอย่างแน่นอน จงจำคำนี้ไว้  คุณจะไม่ล้มเหลวเพราะว่าคุณขาดความสามารถที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่คุณต้องการจะทำ หากคุณมุ่งมั่นต่อไปตามที่ผมแนะนำ  คุณจะพัฒนาความสามารถทั้งหมดที่จำเป็นเป็นในการทำงานของคุณขึ้นได้
       ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จงอย่าลังเลใจหรือรู้สึกสั่นคลอนด้วยความกลัวเมื่อคุณก้า่วไปจนถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วคุณจะล้มเหลวเพราะว่าคุณขาดความสามารถ  จงมุ่งหน้าต่อไป  และเมื่อคุณไปถึงจุดนั้น  ความสามารถนั้นจะมาสู่ตัวคุณได้เอง  แหล่งรวมความสามารถ  ทั้งหลายจะเปิดกว้างสำหรับคุณ  คุณจะไม่สามารถเรียกเอาภูมิปัญญาที่มีอยู่ใน  ปัญญาทั้งมวล  มาใช้เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ  ที่คุณรับผิดชอบอยู่ได้  เช่นเดียวกับที่ทำให้ลินคอล์นผู้ด้อยการศึกษา  สามารถทำงานยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนใดเคยทำไว้ในการบริหารรัฐบาล  ขอให้คุณมุ่งมั่นต่อไปด้วยศรัทธาที่เต็มเปี่ยม
         

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...