วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วัฒนธรรมไทยในวันขึ้นปีใหม่ 2019


ใกล้จะสิ้นปีกันแล้ว  ผมเชื่อว่าหลายท่านก็คงจะลางานล่วงหน้าเพื่อที่จะกลับบ้านต่างจังหวัดกัน  สำหรับบางท่านก็คงมีแพลนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ  และอีกกลุ่มที่ไม่ได้ไปไหนก็อยู่กับบ้าน  ไม่ว่ายังไงก็ขอให้มีความสุขในปีใหม่  2019  นะครับ  (เลขสวยซะด้วย)

มาพูดด้วยเรื่องของวัฒนธรรมไทยกันบ้าง  เมื่อไม่กี่วันมานี่ก็เพิ่งจะจบไปกับวันคริสต์มาส  ซึ่งถือเป็นวันครอบและวันสำคัญของทางชาติตะวันตกกันไปแล้ว  มาพูดถึงชาติตะวันออกกับวันขึ้นปีใหม่กันบ้าง  วัฒนธรรมไทยแท้ในอดีต  แท้ที่จริงเทศกาลปีใหม่ของไทยเราก็คือช่วงเดือน เมษายน ของทุกปีหรือที่ทุกท่านรู้จักกันในชื่อ "วันสงกรานต์" นั่นแหละครับ

เรามาเริ่มเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่  ให้ตรงกับวันที่สากลก็ในช่วงของรัชกาลที่ 5  ซึ่งก็เห็นว่าไม่ได้ขัดอะไรกับหลักศาสนาของเรา  แต่ในความจริงคนไทยก็ยังถือว่าวันปีใหม่ของไทยก็คือช่วงเดือนเมษายนนั่นเอง  แล้วกิจกรรมที่เราทำละครับ  ในช่วงวันขึ้นปีใหม่สากล  เราทำอะไรกันบ้าง?


ในวันขึ้นปีใหม่ (สากล) ของทุกปี ในตอนเช้าคนไทยเราจะ

1.ทำบุญตักบาตร ปัจจุบันก็จะไปกันที่วัด หรือ ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น สถานที่ราชการ และสถานที่ที่มีการจัดงาน

2.ยุคนี้เป็นยุคอินเตอร์คงหนี้ไม่พ้นการส่งคำอวยพร  ให้ทาง Facebook line  และนอกจากนั้นก็จะไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่  เพื่อขอพรจากท่านทั้งหลายในวันขึ้นปีใหม่

3.จัดงานรื่นเริง จัดเลี้ยงกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง

และนอกจากมีการทำบุญตักบาตร  อาจมีการสวดมนต์ข้ามปี  เข้าวัดทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว  ฟังเทศน์ ปล่อยนก ปล่อยปลา อวยพรวันปีใหม่ให้กันและกัน  ให้ของขวัญปีใหม่รับศีล รับพรจากพระ และสรงน้ำพระพุทธรูป  บางบ้านอาจมีประดับธงชาติไว้หน้าบ้านของตัวเอง  และจัดเตรียมทำความสะอาดบ้านให้ใหม่เอี่ยม  เพื่อเป็นนิมิตว่าเราได้เริ่มทำอะไรใหม่ ๆแล้ว  ต่อแต่นี้ก็จะได้รับแต่สิ่งดี ๆ

นี่แหละครับที่เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหน  คนไทยก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมแบบนี้ไว้เสมอ  เราให้ความเคารพกับผู้หลักผู้ใหญ่  และยังส่งทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น  เป็นอะไรที่ผมประทับใจในความเป็นคนไทยมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาภายใต้ศาสนาพุทธ  ที่สอนให้เราเคารพสิทธิและรักเพื่อนมนุษย์ด้วยความเท่าเทียมกัน  ไม่มีการแบ่งแยก  ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชนชาติไหน นับถือศาสนาอะไร  

ท้ายที่สุดในวันขึ้นปีใหม่  ก็ขอให้ทุกท่านจงพบแต่ความโชคดีตลอดทั้งปี  คิดทำสิ่งใดก็ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองปรารถนา  (อายุ  สุขะ พละ)  ทุกประการด้วยเทอญ  

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

LGBT ในสังคมไทย


หลายวันมานี้แทบไม่มีเวลามานั่งเขียนบทความกันเลย  เพราะมัวแต่เคลียร์งานเพื่อจะได้พักผ่อนยาว กับครอบครัวช่วงปีใหม่นี้  อย่างที่ทุกท่านทราบ  สังคมไทยเราต่างจากสังคมต่างชาติ  ปีใหม่เราก็จะกลับบ้านไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่  เป็นประเพณีที่เราปฎิบัติกันมาอย่างช้านาน  จะว่ากันไปแล้วยิ่งโลกพัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่  เรามีอินเตอร์เน็ตใช้   แต่ทางกลับกันเรากลับสนใจในเรื่องของผู้คนมากขึ้น  สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับเรา  กับสังคม ชาติ ประเทศของเรามากขึ้น  มันก็ตลกดีนะครับ  แต่ก็อย่างว่า  มนุษย์เป็นสิ่งที่อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง

ความเข้าผิดๆ  อาจส่งผลกระทบ  ต่อระบบความคิดของเราได้  ทางทีดีบริโภคมันอย่างมีสตินะครับ  เข้าปีใหม่แล้วก็เริ่มทำอะไรใหม่ ๆ กันดีกว่า  เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ หลายคนคงจะคุ้นหูเกี่ยวกับเรื่อง LGBT  ซึ่งเป็นคำที่ได้แทนพวกกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ  วันนี้ผมขอพูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งนะครับ

ต่างชาติอาจมองว่าประเทศไทย  เป็นประเทศที่มีการค้าประเวณีเยอะมาก  รวมถึงพวกสาวประเภท 2  ที่มีการผ่าตัดแปลงเพศเรียบร้อย และยังมีกลุ่มรักรวมเพศอื่นๆ อีกมากมาย  ในขณะที่หลายชาติในเอเชีย  ถือเป็นเรื่องต้องห้าม  โดยเฉพาะประเทศที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม  และพวกที่นับถือศาสนาอิสลาม  หลายท่านคงสงสัยนะครับว่า  ทำไมคนไทยถึงไม่ปิดกั้นเรื่องเหล่านี้  ผมจะเริ่มเล่าก่อนนะครับว่า...

สังคมไทยเราเป็นสังคมของสัดส่วนที่ผู้หญิงมีมากกว่ากว่าผู้ชาย  ในขณะเดียวกันภาพที่ติดตาของผู้ชายที่เกิดในสังคมไทย  ย่อมรู้ดีว่าเราผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ  และยิ่งในยุคปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะครองตัวเป็นโสดกันมากขึ้น  เหตุผลก็เพราะว่า  พวกเขาสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ดีกว่าผู้ชายในยุคปัจจุบันมากกว่าซะอีก

มีคำถามแล้วผู้คนในสังคมรังเกียจเพศที่สามไหม    ผมว่านี้เป็นความคิดเห็นเฉพาะส่วนบุคคลนะครับ  ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบ  และทุกคนที่จะไม่ชอบ  แต่การยอมรับในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งตามหลัก  คำสอนของศาสนานั่นเอง  ที่ทำให้เรามองเห็นและยอมรับในความแตกต่างนั้น  ที่ผมพูดไม่ได้สนับสนุนหรือยกย่องว่าศาสนาพุทธ  ดีกว่าศาสนาอื่นๆ นะครับ

จริง ๆ แล้วถ้าคุณอาศัยอยู่ในเมืองไทย  ก็ยังมีบางกลุ่มที่เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้  อาจจะเพราะหน้าที่การงาน  ตำแหน่ง หน้าตาทางสังคม  ในขณะที่ภาพจากคนภายนอกเห็นประเทศไทยมีกลุ่ม LGBT  เยอะมาก   และสังคมไม่ปิดกลั้น  ตรงนี้ผมก็ยอมนะครับว่า กลุ่มคนพวกนี้มีความสามารถเป็นอย่างมาก  ไม่แพ้ชายหรือหญิงแท้  เพราะฉะนั้นมนุษย์ควรที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกัน  ไม่ว่าจะเหตุผลประการใด  ถ้ามนุษย์ทุกชนชาติมองข้ามเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ และยอมรับเพื่อนมนุษย์ในฐานะผู้ร่วมโลก  คุณจะเข้าใจสิ่งนี้ได้มากขึ้น

อีกประการหนึ่งในเรื่องการค้าประเวณี  จริงๆ แล้วมันมีอยู่ทุกที่อยู่แล้วเหมือนทุกประเทศนั่นแหละครับ  แต่เพราะไทยเราเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังและมีชื่อเสียง  แน่นอนว่าย่อมมีข่าวพวกนี้ส่งผลกระทบตามไปด้วย  แต่นั่นก็แค่ส่วนน้อยที่คุณได้เห็นนะครับ  แท้ที่จริงผู้หญิงไทยก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป  พวกเขารักที่จะเป็นตัวของตัวเอง  ชอบความเป็นอิสระ และให้การเคารพผู้หลักผู้ใหญ่  ตามแบบประเพณีดังเดิม  ผมกล้าพูดได้เลยว่า  ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีประชากรไทยอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศ 

ต่อให้เราจะมีเราจะมีเรื่องราววุ่นวายอะไรก็ตาม  แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี  จากความร่วมมือและความมีน้ำใจของคนไทยด้วยกัน  เมืองไทยเป็นเมืองที่อากาศร้อน  แต่เพราะรอยยิ้มเลยทำให้ทุกครั้งที่ร้อนผมก็จะหายเหนื่อยได้  ผมกล้าพูดได้เลยว่าเวลาผมเดินทางไปประเทศอื่นในอาเซียน  คนไทยยิ้มเยอะที่สุด  และรู้สึกอบอุ่นมากเวลาอยู่ที่ไทย  ถึงแม้ว่าหลายชาติจะดูอบอุ่นเหมือนกัน  แต่ที่นี้ก็ยังให้พลังงานกับผมได้ตลอดเวลา  ความหลากหลายทางเพศ  ความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ความหลากหลายเรื่องอาหารการกิน  ความหลากหลายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต  นี่แหละครับที่คือเสน่ห์ของไทยแลนด์

ท้ายที่สุดผมก็อยากจะฝากไว้กับพวกที่คิดจะทำลายชาติ  ดูหมิ่น ดูแคลนชาติของตัวเอง  และไม่ภูมิใจในชาติของตัวเอง  หยุดคิด และ หยุดทำเรื่องเหล่านี้เถอะครับ  เพราะประเทศไทยเรามีดีกว่าที่คุณคิด  คุณจงภูมิใจในชาติบ้านเมืองของคุณ  ใครจะว่า จะดูถูกเรา ก็อย่าไปโต้ตอบด้วยกิริยาที่ก้าวร้าว  เพราะนั่นคือ  ปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา  ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำครับ  ในโลกนี้ย่อมมีคนรัก  คนเกลียด คนขี้อิจฉา  เป็นเรื่องธรรมดาของโลกครับ  เราจงใช้ชีวิตอย่างปล่อยวางและมีความสุขที่สุด

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อยู่ห่าง ๆ กับพวกคนที่คิดลบ


ในชีวิตนี้เชื่อเลยครับว่ามนุษย์เราสิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดของคือ ตัวของเราเอง  ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่  เราจะนึกถึงตัวเองเป็นอันดับแรก  ด้วยเพราะสัญชาตญานบางอย่างนั้นเอง  ว่ากันด้วยหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา มนุษย์เรานั้นต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ก่อน  ก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือผู้อื่น  ผมว่าเรื่องนี้มีส่วนจริงมากทีเดียวครับ

มีบางคนมองว่า...คิดเเบบนี้คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่า  จริง ๆ แล้วมันอยู่เจตนานะครับ  การจะมาตัดสินว่าคนนี้เห็นแก่ตัวเองหรือไม่  ในบางสถานการณ์หากไม่ใช่คุณ  มันอาจยากนะที่เราจะตัดสินใจกับบางเรื่อง  ข้อคิดสำคัญในการใช้ชีวิตก็คือ  พยายามมองเห็นในแง่ดีของการใช้ชีวิต  ไม่ว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด ๆก็ตามแต่  ชีวิตมนุษย์เราบางทีเราว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว  ก็ยังมีคนที่เขาลำบากกว่าเราอีกตั้งแยะ

การฝึกมองเห็นความสวยงามในสถานการณ์ที่คับขัน  จะทำให้เรามองเห็นทางออกได้ทุกสถานการณ์  เป็นเหมือนบททดสอบที่สำคัญว่า  เราจะผ่านจุดนี้ไปได้ยังไง และทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหน  คนเราบางทีก็ต้องฝึกยอมรับความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวคุณบาง  ไม่มีใครที่หนีความจริงของตัวเองไปได้ตลอด  เราอาจไม่ใช่คนที่เก่งหรือดีที่สุด  แต่เราคือคนที่พร้อมยอมรับในข้อผิดพลาดของตัวเอง  แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้

การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนนั่นคนนี่  ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกครับ  คนอื่นตัดสินเรายังไงยังไม่เท่าเรามองตัวเราเองยังไงหรอก  บทที่  1  ของเรากับบทที่ 10 ของเขาอาจแตกต่างกัน  ประสบการณ์ชีิวิต และเรื่องราวที่พบเจอก็ต่างกัน  บางทีเขาแกร่งกว่านั่นเพราะเขาผ่านอะไรมามากกว่าเรา  ไม่ได้หมายความว่าเราจะดีกว่าเขาไม่ได้  แค่เราต้องใช้เวลาและรอจังหวะที่เหมาะสม  โอกาสมักต้องมากับความพร้อมเสมอ  ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและพร้อมอยู่เสมอ  ถึงเวลานั้นใครก็ไม่กล้าจะมาตำหนิเรา  ถึงตำหนิไปก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเราหลอกครับ

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมต้องการนำเสนอเรื่องนี้ก็คือ  ปัจจุบันโลกเราหมุนไวมาก  มีคนคิดลบมากขึ้นทุกวัน  เราเลือกได้ว่า เราจะเปิดโอกาสให้คนคิดบวก หรือลบให้เข้าหาชีวิตเราได้  คนคิดลบเราก็มักจะได้ยินและฟังแต่เรื่องลบ ๆ และพลอยจะทำให้ชีวิตเราตกต่ำไปได้  กลับกันถ้าเราหมกหมุ่นอยู่กับคนคิดบวก  เราจะได้รับแต่พลังงานบวก  เข้ามาอยู่ตลอดเวลา  เพราะชีวิตเป็นของเรา เรากำหนดมันเองได้  แค่เปิดโอกาสดี ๆ ให้กับตัวคุณเองเท่านั้น

ถ้าถามผมว่า  แล้วจะทำยังไงถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของพวกคิดลบ แบบไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้  ท่านก็แค่พยายามปิดหู ปิดปาก แค่นั้นเองครับ  เราแก้ไขอะไรที่เขาไม่ได้  แต่เราสามารถปรับปรุงที่ตัวเราเองได้  ทำตัวเราให้สูงขึ้น  ปล่อยพวกเขาให้ได้รับบทเรียนของพวกเขาไป  ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม  คนที่คิดบวกได้ในสถานการณ์ร้ายๆได้  แสดงว่าคุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ  ผมนับถือด้วยใจจริง

การยอมถอยสักก้าวให้กับคนคิดลบ  ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นผู้แพ้  แค่คุณฉลาดในการใช้ชีวิต  และฉลาดเลือกในทางเดินที่ดีกว่าของตัวเองต่างหาก  หัวเราะทีหลังดังกว่าครับ  ถ้าวันนั้นมาถึงเดี๋ยวเขาก็จะอกแตกตายไปเองเชื่อผม  ข้อสำคัญคืออย่าแสร้งทำ  แต่มันต้องมาจากความจริงใจของคุณ  อะไรที่เป็นการทำแบบหวังผล หรือแสร้งทำผู้คนย่อมเห็นและทราบถึงปฎิกริยาของคุณ  และไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน  ความจริงใจคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผู้คนชื่นชอบและหลงรักคุณ  ในความเป็นตัวตนของคุณจริงๆ

คุณเคยเห็นไหมครับ  คนบางคนแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอะไร  แต่เขาก็ดูโดดเด่นขึ้นมาได้แบบไม่ต้องทำอะไรเลย  นั่นเพราะเขาเป็นคนจริงใจ และรู้จักสร้างนิสัยที่เป็นเสน่ห์  ชวนน่าหลงใหลตลอดเวลาจนเป็นนิสัย  การทำอะไรให้เป็นนิสัยและเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ  ก็เลยทำให้ดึงดูดผู้คนให้หลงรักคุณได้มากขึ้น  ในทุก ๆ สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี  ผมฝากให้ทุกท่านไว้เป็นข้อคิดนะครับ  ชีวิตนี้มันสั้นจริง ๆ อย่าเอาความคิดลบมาใส่หัวคุณ  คิด ทำ แต่เรื่องดี ๆ  ไม่ได้สร้างอะไรให้กับโลกใบนี้  อย่างน้อยที่สุดก็สร้างรอยยิ้มให้กับตัวเอง กับผู้คนก็ยังดีกว่านะครับ  

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เป็นตัวของเราเองดีที่สุด


หลายคนอยากที่จะเป็นนั่น เป็นนี่  เราเห็นเพื่อน เห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จ  ก็อยากที่จะเป็นแบบเขาบ้าง  ทั้งที่ในความเป็นจริง  เราก็ไม่ได้ต้องการจะเป็นแบบนั้นสักหน่อย  เพียงแค่เพราะว่าอยากทำตามแบบเขาเท่านั้นเอง  คนเรานี่ก็แปลกนะครับ  เรามักจะมองแต่ในด้านที่เราเลือกอยากที่จะเห็นในแบบนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว  มันมีอะไรมากกว่านั้น

มนุษย์เราจะมีหลากหลายมุมที่เรายังมองไม่เห็น  การมองคนควรมองแต่ด้านดีของเขา  แต่การจะศึกษาอะไรบางอย่างที่เป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จ  ก็ต้องเรียนรู้ทั้งด้านที่สำเร็จ  และด้านที่ล้มเหลว ที่เคยผ่านมาของเขาด้วยเช่นกัน  บางทีคนเราก็มักจะคาดหวังกับความสำเร็จมากจนเกินไป  จนบางครั้งมันกลายเป็นความเครียด  ความกดดันในตัวเองไป

สิ่งสำคัญที่สุดผมอยากจะแนะนำคุณก็คือ  คุณต้องกลับมาที่ตัวเอง  อย่าได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร  ไม่มีใครดีกว่าใครและเก่งกว่าใครไปได้ทุกเรื่อง  การเป็นตัวของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  อะไรที่เราไม่ได้ชอบก็คือไม่ชอบ จะไปฝืนอะไรที่มันขัดกับความเป็นจริงของตัวเราเองทำไม  เราก็แค่ทำหน้าที่ตรงหน้าของเราให้มันดีที่สุด  ถ้าทำดีทีสุดแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร  เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลหรือเสียใจในภายหลัง

คนเรามีทางเดินและความฝันของตัวเราเอง  มันอาจแตกต่างกันตามประสบการณ์  และความชอบของแต่ละบุคคล  คนที่มีฝันก็อย่าได้ทิ้งความฝันของตัวเองไปนะครับ  อย่าให้อายุหรือเหตุผลอะไรก็ตามมาสร้างกำแพงหรือข้อจำกัดให้กับตัวเราเอง  เราเห็นคนที่ประสบความสำเร็จ  ก็ควรฝึกชื่นชมเขาด้วยใจจริง  ศึกษาและเอาเขาเป็นต้นแบบของความสำเร็จให้กับเราได้  โลกจะดึงดูดให้เราเป็น  และอยากเป็นในแบบที่เราต้องการ

บางทีสิ่งที่เราคาดหวังไว้ ผลลัพธ์ที่ได้มันอาจไม่ได้วิเศษขนาดนั้น  หรืออาจจะดีกว่าความคาดหมายของเราก็ได้  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  ผมอยากให้คุณเต็มที่กับชีวิต  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจงภูมิใจในตัวของเราและเต็มที่กับมัน  ในวันที่เรารู้สึกเหลือตัวคนเดียวจริง ๆ  ก็อย่าหมดศรัทธาในตัวเอง  พยายามปลุกไฟของตัวเองให้มันลุกอยู่ตลอดเวลา  ออกเดินทาง  ไปพบปะผู้คนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง  อย่าทำตัวเองให้เป็นคนคิดลบ  หรือติดกรอบ

เราไม่อาจรู้ได้หรอกครับว่าในวันข้างหน้า  เราจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน  แต่ที่เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ทันทีก็คือ "ความสุข" กับการอยู่กับปัจจุบันและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด  ในแต่ละวัน  บนโลกใบนี้มีพื้นที่ว่างมากมาย  สำหรับผู้คนให้สามารถที่จะโดดเด่น  และแจ้งเกิดในเวทีของความสำเร็จในชีวิตได้  คำนิยามของความสำเร็จของคนเราในแต่ละคน  มันแตกต่างกัน  แต่พื้นฐานแห่งความสำเร็จต้องเริ่มจากความสุขที่แท้จริงซะก่อน

ความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค์  จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์  ต่างต้องการความสำเร็จ และมีหน้ามีตาในสังคม  เพราะเราคือมนุษย์สังคม  ที่ต่างต้องอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน บางทีการทะเลาะกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา  เราควรหาจุดที่พอดีและปรับความเข้าใจกันให้ได้ บุคคลที่จะประสบความสำเร็จทุกคนเข้าใจกฎเหล่านี้เป็นอย่างดี  คุณก็อยากประสบความสำเร็จใช่ไหมละ  งั้นเราก็ต้องมาเริ่มสร้างแผนที่ทางเดินให้กับตัวเรา  ในแบบที่เราต้องการจริงๆ  ได้แล้วละครับ  คนเรานะ เกิดมาทั้งที่  ต้องเอาดีให้ได้สักเรื่องหนึ่ง  ให้โลกได้ชื่นชมเราและเราก็สามารถตอบแทนให้กับโลกใบนี้ได้  อย่างไม่น่าผิดหวัง 

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

กำลังใจคือสิ่งที่ยื่นให้กันได้ดีที่สุด


ในยามที่เรารู้สึกว่าเห่ย...ชีวิตนี้มันช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน  อยากไปที่ไหนไกลๆ สถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่มีคนรู้จักเรา  ได้เป็นตัวของเราอย่างแท้จริง  คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าทำไมชีวิตของฉันต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้นะ

ยิ่งในบางครั้งที่เราต้องตัดสินใจกับอะไรบางอย่าง  การตัดสินใจว่าเป็นเรื่องที่มันยากแล้ว  แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่าก็คือ  การปฎิเสธกับอะไรบางอย่าง (นับว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจทีเดียว) แต่ยังไงการปฎิเสธก็ยังต้องดำเนินไปอยู่ดี

ในช่วงเวลานี้ผมเชื่อว่าทุกคนกำลังพยายามหาเหตุผล  ต่าง ๆ นา ๆ ที่ดีที่สุด  เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยที่สุด  สำหรับผมการหาเหตุผลไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด  แต่การพูดความจริงออกไปต่างหาก  ที่จะทำให้ตัวเรา  และเขาสบายใจกันทั้งสองฝ่าย  มนุษย์เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม  เพราะฉะนั้นการเข้าหาผู้คนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น  คนเราควรจริงใจต่อกันครับ 

อะไรที่ทำให้เรารู้สึกขาดความศรัทธาในตัวเอง  ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำเป็นอย่างยิ่ง  ในหนึ่งครั้งของชีวิต  ย่อมมีเรื่องที่เข้ามารบกวนจิตใจคุณอยู่บ้าง  การได้กำลังใจจากใครสักคน  ก็เปรียบเหมือนยาดี ๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงเรา  สองสามวันมานี้ตัวผมก็อยู่ในอาการจิตตกพอสมควร  ผมได้แต่นิ่งเพราะคิดหาวิธีการไม่ได้จริง ๆ  ตอนที่ผมเข้านอนเมื่อคืน  ผมก็ได้เสียงใครบางคนเข้ามากระซิบที่ข้างหูผม  เสียงนั้นก็คือ เสียงของคุณแม่  ซึ่งจากผมไปแบบไม่มีวันกลับแล้วนั่นเอง  ผมได้ยินเสียงนี้ทีไร  เหมือนกับมีพลังบางอย่าง  ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่ตรงหน้า  ความกลัวและความกังวลใจก่อนหน้านี้  มันหายไปหมดเลยครับ

เวลาที่คุณหมดกำลังใจกับอะไรบางอย่าง  ผมอยากให้คุณให้กำลังใจตัวเอง  หรือกลับไปหาใครสักคน  คนที่จะสามารถปลุกให้คุณลุกขึ้น  มีพลังที่จะสู้กับชีวิตอีกครั้งหนึ่ง  ชีวิตมันก็เท่านี้มีขึ้น มีลง ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ  สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เราต้องตั้งสติยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้าให้ได้  ชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะมานั่งคิดเล็ก คิดน้อย อะไรที่เราเต็มที่แล้วก็ปล่อยวางนะครับ

สิ่งที่ยากกว่าอะไรนั่นก็คือ  การที่มนุษย์รู้สึกปล่อยวางนี่แหละครับ  ถ้าหลุดพ้นจากตรงนี้ไป  คุณแทบจะไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย  ใจที่ปล่อยวางมักจะทำให้ความคิดเราเป็นอิสระไปด้วย  มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการที่จะสรรค์อะไรใหม่ๆได้  ทุกสิ่งมีเวลาของมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ 

อะไรที่เราไม่ต้องการให้เขามาทำกับเรา  เราก็แค่อย่าไปทำกับเขาแค่นั้นเอง  ฝึกเป็นคนยิ้มง่าย และหัดชมผู้อื่น  ให้กำลังใจผู้อื่นให้มากๆ มันอาจเป็นยาดีสำหรับเขา  และทำให้ตัวเรามีความสุขไปด้วย  แต่ต้องออกมาจากใจจริงนะครับ  ใช้ความจริงใจเข้าแลกกับทุกอย่าง  คุณจะเห็นพลังของความจริงใจ และความสุขที่ออกมาจากใจคุณอย่างแท้จริง  อะไรก็ไม่ดีไปกว่าการได้ทำ ได้เป็น ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ หรอกครับ

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

คำนิยามของความสุข


หลายคนมีความฝัน  และต้องการไปให้ถึงจุดนั้น  ในขณะที่บางคนก็ได้แต่ฝันและก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรกับความฝันของตัวเองเลย  เราต่างสร้างกำแพงให้กับความฝันของตัวเอง  ในหลายๆเหตุผล เช่น

- ฉันทำไม่ได้บ้างละ

- ฉันเรียนมาน้อย ไม่มีความสามารถด้านนี้ 

- ฉันไม่ได้จบการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเลย

- ฉันไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะเหตุผลร้อยแปดประการ  เหนือสิ่งอื่นใดนั่น ก็คือ ธรรมชาติของมนุษย์เรานั่นเองแหละครับ  เราพยายามสร้างเกราะคุ้มกันให้กับตัวของเราเองตลอดเวลา  แท้ที่จริงไม่มีมนุษย์คนไหน  เกิดมาแล้วมีความสามารถ หรือมีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดได้เลย  ถ้าหากว่าเขาไม่สนใจหรือไม่มีแรงบันดาลใจในการลงมือทำตามความฝันนั้น

บางทีเราก็เอาแต่นั่งมองความฝันเหมือนกัับเงา  ที่พยายามยามคว้ามันเท่าไหร่  มันก็จะวิ่งหนีเราไปทุกที่ เงาที่ว่านั้น  ไม่ใช่ใครที่ไหน แท้ที่จริงก็คือ "ตัวตนของเรานั่นเอง"  หลายคนไปนิยามความสุข  โดยเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเงิน หรือตัวเลขในบัญชีก่อน  ทั้งที่จริงบางทีสิ่งที่จะทำเงินให้คุณต่างหาก  นั่นแหละคือสิ่งที่คุณควรพัฒนาและฝึกฝนมัน  ไม่ใช่วิธีการหาเงินแต่เป็นพรสวรรค์กับบางสิ่งบางอย่าง

มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องเก่งไปทุกเรื่องหรอกครับ  แน่นอนว่าความจำของมนุษย์และความสามารถเรามีจำกัดอยู่แล้ว  สิ่งที่สำคัญคือ  ยิ่งเรารู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ และปฎิเสธสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ใช่สำหรับเรา  ได้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้คุณเข้าใกล้ความฝันของคุณได้มากขี้นเท่านั้น

ความฝันหรือส่ิงที่คุณต้องการจะทำมันนั้น  ตรงนี้ผมยังไม่ได้พูดถึงว่า  คุณจะประสบความสำเร็จกับมันหรือไม่  เพราะนั้นมันคือปลายทาง  จุดเริ่มต้นที่ดีนั่นแหละที่จะเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จของคุณในระยะยาว  เช่นเดียวกับงานเขียนของผม  มีคนเคยถามผมว่า  ผมทำแล้วผมได้อะไร สิ่งที่ผมได้ก็คือ คุณค่าทางจิตใจยังไงละครับ  มันมีค่ามากกว่าอะไรด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่ผมได้ลงมือเขียน  ได้อ่านหนังสือ ได้เดินทาง ได้แปลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้คนใหม่ ๆ ความคิดของผมมันก็จะร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือได้ทันที  ผมสนุกที่จะทำมัน และต้องการที่จะเเชร์เรื่องราวประสบการณ์  ที่คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้คน  บางครั้งสิ่งที่ผมทำมันอาจจะอยู่นอกกระแสบ้าง  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะมันคือความสุขที่ผมได้ลงมือทำ

แล้วคุณละครับ.... ได้เจอสิ่งที่ใช่ของคุณหรือยัง   บางทีนะครับมันอาจไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับใครหลายคน  หรืออาจไม่ใช่ในแบบที่เราคิดไว้ก็ตาม  แต่มันทำให้หัวใจเราพองโตทุกครั้งที่ได้ทำมัน  สนุกกับมัน  ไม่เบื่อ และอยากจะทำสิ่งเหล่านี้ให้มันดีขึ้นทุก ๆ วัน  ตัวผมก็ไม่ใช่นักเขียนที่ดีที่สุด  หรือเก่งที่สุด  แต่ผมมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ผมทำผมทำมันด้วยใจที่รักจริง ๆ  และอยากจะส่งต่อให้กับผู้คน

มีหลายครั้งที่เราล้มเหลว  ผิดหวังกับชีวิต  บางทีก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ  เรามัวแต่รอจังหวะรอโอกาสอะไรก็ไม่รู้  ทั้งที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่  ผมอยากให้บทความนี้เป็นเหมือนกำลังใจให้กับทุกคน  ทุกครั้งที่คุณสิ้นหวัง  หรือท้อใจ นึกอะไรไม่ออก  อยากที่จะให้บทความของผม  ด้สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับคุณ  เหมือนยาวิเศษ  ที่ช่วยหล่อเลี้ยงใจให้มีพลังมากยิ่งขึ้น  ขอบคุณที่ทำให้โลกใบนี้สวยงามมากกว่าเดิม  และขอบคุณตัวผมเองที่อดทน  และมุ่งมั่นกับการทำงานชิ้นนี้ และจะตั้งใจทำมันต่อไป ฝึกฝนและพัฒนางานเขียนของตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ ครั้ง  ผมสัญญา

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ข่าวสารและหลักกาลาสูตร


โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย  มีทั้งผู้ที่หวังดี  และผู้ที่หวังผลประโยชน์และอาศัยจังหวะบางอย่าง  เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  อาชีพที่ควรจะมีจรรยาบรรณมากที่สุดก็คือ นักข่าว หรือคนที่ทำงานเกี่ยวกับการให้ข้อมูลข่าวสาร  คุณจะสังเกตุเห็นได้ว่า  เวลาหัวข้อข่าวบางทีก็ไม่ตรงกับเนื้อหาของข่าว  หรือคลิปวีโอดีไม่ตรงกับเนื้อหา  เพียงเพราะต้องการให้คนสนใจและเข้ามาดู  เข้ามาอ่านกันเยอะ ๆ  

ผมจึงอยากนำเสนอเกี่ยวกับหลักกาลาสูตร  10 ข้อ  ตามหลักพุทธศาสนาไว้เป็นหลักเตือนใจทุกท่าน  เวลาจะบริโภคข้อมูลข่าวสารอะไร  ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อง่าย ๆ  ควรใช้หลัก 10 ข้อนี้เป็นข้อคิดเตือนใจก่อน  หาไม่แล้วอาจสร้างความเดือนร้อนมาสู่เรา และความทุกข์ใจมาสู่ผู้อื่นด้วย

  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ถ้าคุณศึกษาและทำความเข้าใจกับหลักเหล่านี้  คุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของใครทั้งนั้น  คนที่คิดไม่ดีหรือหวังแต่จะกอบโกยผลประโยชน์  ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับคุณได้  ผมก็พอทราบนะครับว่า พลังแห่งข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์  มันรวดเร็วมาก  ข่าวสารบางอย่างทำให้เราเกิดความหดหู่ จิตตก  นั่นเพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการกรองที่ถูกต้องมาก่อน  จึงทำให้มีผลกระทบต่อจิตใจของมนุษย์เป็นอย่างมาก  

เราก็ไม่อาจคาดเดาเจตนาของผู้ที่ปล่อยสื่อออกมาว่า  เขาต้องการอะไรกันแน่  ต้องการเรียกร้อง  ต้องการความสนใจ  ความสะใจ  หรือประชดประชัน  มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น  คนที่ฝึกกาย ฝึกจิตมีสติรู้อยู่นั้น  จะไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านี้  

คุณต้องเข้าใจนะครับว่าโลกนี้  มันมีทั้งคนที่หวังดีกับคุณ และคนที่ไม่หวังดี  ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  ตัวเรานั่นแหละครับ  เรารู้เจตนาของเราดี  ว่าสิ่งที่เรากำลังคิดและทำนั้น  เราทำเพื่ออะไร  ต้องการที่จะสื่อสารอะไรให้กับผู้ฟัง  สำหรับผมแล้วผู้คนอาจน่ากลัวจริงแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของเราเองนั่นแหละครับ

เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างกับเรา  เราควบคุมตัวเองได้ไหม  เราควบคุมสถานการณ์ได้ไหม  เราสามารถฝึกความอดทน อดกลั้นให้เราเป็นคนดี  มีจิตใจที่ดีอยู่เสมอได้ไหม  เราจะไม่พาตัวเองไปในสิ่งที่ไม่ดีหรือทำตัวเองให้ตกต่ำได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้น่ากลัวกว่าอะไรทั้งนั้น  การฝึกใจตนเอง  จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยุคนี้  ใครเขาจะคิดอะไรไม่สำคัญเท่าตัวเราดีพอ  และรักษาระดับความคิดของเราได้หรือไม่  ยังไงผมก็ขอฝากเอาไว้ด้วยนะครับ  เราดีได้ด้วยตัวของเราเองไม่ใช่เพราะใครยกย่องว่าเราเป็นคนดีครับ

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สร้างพลังให้ตัวเอง


คนเราที่จริงมันก็แปลกครับ  เวลาที่เราหมกหมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง  เราก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้นาน ๆ แบบไม่รู้จักเบื่อกันเลย อะไรนะที่คือสาเหตุของสิ่งเหล่านี้ 

ถ้ามันเป็นเช่นนั้นได้  ก็เท่ากับเราสามารถนำสิ่งนี้มาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน  และสิ่งที่เราชอบได้ละซิครับ  มันจะวิเศษเป็นอย่างมากเลยครับ  ถ้าเป็นไปได้  การเริ่มต้นทำอะไรใหม่  หรืออะไรที่เราไม่คุ้นเคย  ในครั้งแรกมันจะมีความรู้สึกว่ายากเสมอ ๆ   แต่พอผ่านจุดนี้ไปได้แล้วทุุกอย่างมันก็จะผ่านไปได้เอง  บางครั้งนะครับ  ผมก็มีความคิดนะครับว่า 

ทำไมมนุษย์ต้องมีความรู้สึกเจ็บปวด  กลัว  เศร้า เหงา ดีใจ เสียใจ และก็ร้องไห้  สลับหมุนเวียนไปอย่างนี้  เราเลือกที่จะมีความสุขตลอดเวลาไม่ได้เหรอ  ความคิดแบบเด็กๆ ที่มองโลกเต็มไปด้วยความสวยงาม  แต่เมื่อโตขึ้นเราก็เริ่มได้เห็นได้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตที่มากขึ้น  เลยทำให้รู้ว่าจังหวะชีวิตทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน  แค่เราจำเป็นต้องฝึกเรียนรู้  และรับรู้ตามความเป็นจริงในสภาวะนั้นให้ได้นั้นเอง

หลายปีมานี้  ผมเขียนบทความมาหลายบทความแล้ว  สิ่งที่ผมได้รับจากมันก็คือ "ความทรงจำ" นั่นเอง  สิ่งนี้มันช่างน่าวิเศษจริงๆ ครับ  มันทำให้ผมความจำดีขึ้น  และพัฒนาทักษะในการเขียนได้ดีขึ้น  ในความเป็นจริง  งานเขียนนี้มันใส่อะไรลงไปได้เยอะมาก  ทั้งชีวิต  จิตวิญญาน  อารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ 

ผมว่า..ไม่ว่าอะไรก็ตาม  ถ้าเราเต็มที่กับมันทุกอย่างก็เป็นไปได้หมด  บางทีข้อจำกัด หรือกำแพงที่เราสร้างมันขึ้นมา  เพื่อล็อคจิตวิญญานของเราให้ไม่สามารถเป็นอิสระได้  เราควรปลดปล่อยวิญญานของเราให้มีอิสระ  ทำตามหัวใจ ตามความต้องการของตัวเราเอง แค่ลองดูสักครั้ง  ครั้งเดียวบางทีมันอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับชีวิตของคุณก็ได้นะครับ

ชีวิตคนเราในแต่ละวันล้วนมีเรื่องตลกมากมาย  เราพบเจออะไรมากขึ้น  ในขณะเดียวกันพอเรารู้อะไรมากขึ้นแทนที่เราจะเป็นคนที่กล้า  เรากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากขึ้น  มันก็ตลกนะครับแต่มันคือเรื่องจริง  วิธีที่ขจัดความกลัวได้ที่ดีที่สุดก็คือ  "การลงมือทำ"  มันในทันทีที่คุณกลัวเพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้  

บทเรียนชีวิตของคนเราต่างได้สอน  และทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วละครับ  เราเพียงแค่ทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์ที่ดี  ศึกษาและทำความเข้าใจกับสิ่งนั้น  การที่มนุษย์เข้าถึงตัวเองมากที่สุด  ก็เท่ากับเข้าถึงคนอื่นไปด้วย  ไม่มีใครจะเห็นใจมนุษย์ได้ก่อน  ถ้าตัวเขายังไม่รู้จักกฎกติกาในข้อนี้  ชีวิตก็มีกฎนะครับ คุณต้องเรียนรู้และเข้าใจกฎกติกาเหล่านี้  ไม่ว่าจะเป็นกติกาในการใช้ชีวิต  กติกาในการอยู่ร่วมกับสังคม  ถ้าเคารพกติกาและเล่นตามเกมส์ให้สุดความสามารถ  ชีวิตคุณก็ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

คนบางคนพยายามวิ่งหาสูตรลัด  สูตรที่จะนำพาไปหาเส้นชัยหรือความสำเร็จ  ทั้งที่ยังไม่รู้เป้าหมายและความต้องการที่แท้จริงในชีวิตของตัวเขาเองด้วยซ้ำ  แบบนี้จะเรียกความสำเร็จได้ยังไง  มันก็แค่การแข่งขันเท่านั้นเอง  เมื่อเกมส์จบทุกอย่างก็จบ  ชีวิตมันมีอะไรมากกว่าการแข่งขัน  อย่าพยายามไปแข่งขันกับใคร  ควรแข่งขันกับตัวเราเองให้ดีที่สุด  แค่คุณดีขึ้นจากเดิมวันละ 1 % มันก็สุดยอดแล้วละครับ

บางทีผมก็อดนึกไม่ได้นะครับ  ที่ผ่านมาเราเอาแต่นั่งกังวล  กับเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้  ทั้งที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราก้าวไปได้ข้างหน้าได้ดีสักหน่อย  มันก็ย่ำอยู่ที่  เครียดไปก็เท่านั้น  เส้นทางชีวิตอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบกันทุกคน  แต่มันสามารถจะพาเราไปหาจุดที่เหมาะสมได้  ด้วยพลังงานแห่งความคิด  ความคิดจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการกระทำของเรา  เผื่อผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าได้  

หลายคนพลาดโอกาสดี ๆในชีวิต  เพราะคอยเอาแต่ปิดกลั้นตัวเอง  มองว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ  ไม่ดีพอที่จะได้รับสิ่งดี ๆ เข้ามา  เหนือสิ่งอื่นใดต้องเปิดใจให้ได้ก่อน  คนเราถ้าเปิดใจแล้วอะไรก็พร้อมรับสิ่งใหม่ได้เสมอ  และลดความกังวล  ความกลัวไปได้อย่างมาก ทำตัวให้พร้อมรับกับสิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ สนุกไปกับมัน  ทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องไปคาดหวังกับผลลัพธ์ให้มาก  เพราะผมมั่นใจว่าถ้าเราทำเหตุดี  ผลมันก็ต้องดีเสมอ

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ชีวิตไม่ได้ยาก แต่เราทำให้มันยากเอง



พอดีไปอ่านผ่านเจอหัวข้อนี้  ผมว่า...มันน่าสนใจดีนะครับ  มนุษย์นั่นแหละที่ทำให้เรื่องบางเรื่องมันซับซ้อนไปเอง  ทั้งที่ในความเป็นมันไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย  นั่นก็เพราะ

1.เราติดกรอบ  ใช่เลยครับมนุษย์เราเวลาทำอะไรไปได้สักพักหนึ่ง  นานพอจนตัวเองเกิดความไม่มั่นใจ  แล้วก็เกิดความกลัวขึ้นมาซะงั้น  ไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรใหม่  ด้วยข้อจำกัดพื้นฐานที่ตัวมนุษย์เราเองสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงกั้นตัวเราไว้  เช่น  หนี้สิน  อายุ  ความสามารถ  (ถ้าหากเราจะย้อนกันไปจริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งนั้นนะครับ  ผมว่าเราสามารถควบคุม และพัฒนา เรียนรู้กับทุกสิ่งได้)

2.เราชอบทำอะไรตาม ๆ กัน   เรื่องนี้แน่นอนเลย  ผมไม่รู้ต่างชาติเป็นอย่างไรนะครับ  แต่พี่ไทยเราแน่นอนที่สุด   คนไทยชอบทำอะไรตามๆกันมาก  อย่างล่าสุดวันเสาร์ที่ผ่านผมก็ได้ไปเดินดูของลดราคา  เป็นยี่ห้อสินค้าแบรนด์ดัง  ซึ่งได้รับความนิยมในประเทศไทยมาก   เขานำมาขายลดราคา  แต่คุณเชื่อไหมว่า  โอ้โหคนจะเยอะอะไรเบอร์นั้น  (ทั้งที่ในความเป็นของมันก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้นผมว่า  อีกอย่างลองไม่ได้  เปลี่ยนก็ไม่ได้)  จิตวิทยาของมนุษย์อย่างหนึ่งก็คือ  เวลาเห็นป้ายราคาสูง ๆ  เเล้วตัวเองสามารถซื้อในราคาที่มันถูกลงจากป้ายเอามากๆ  มันมีความรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก  บางทีผมมองผู้คนที่กำลังยื้อแย่งกันแล้วก็แอบขำไม่หายนะครับ

3.เรากังวลไปก่อน  เรื่องนี้เรื่องจริงทีเดียวครับ เวลามนุษย์เราพอทราบว่าต้องทำอะไรใหม่ๆ  หรือเรื่องที่เสี่ยง ๆ  จะมีความรู้สึกกังวลและกลัวไปก่อน  ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรไปเลย  ข้อนี้ผมอยากให้คุณลองคิดกลับกันใหม่นะครับ  สิ่งต่างๆ บนโลกนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ไม่มีอะไรแน่นอน จีรัง ยั้งยืน  หน้าที่ของเราก็แค่ทำวันนี้ของเราให้มันดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว


คนเราก็ช่างแสนแปลกนะครับ  แท้ที่จริงความหมายของการใช้ชีวิตผมว่า  มันมีอะไรมากกว่าการทำงาน หาเงิน ชีวิตยังต้องมีอีกหลายมุมที่เราจะเป็นต้องทำให้มันลงตัว  ส่วนตัวผมแล้ว  ความสุขและความหมายของชีวิตนั่นก็คือ  การอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด  

ทุกวันนี้อะไรที่มันยุ่งยาก  หรืออะไรที่พยายามดึงผมให้หลุดโฟกัสไป  ผมจะหนีห่างให้ไว้ที่สุดเลยครับ  ยาดีที่สุดของผมก็คือ  การทำจิตใจเราให้สงบ  ไม่ฟุ้งซ่าน  อยู่กับลมหายใจ-เข้าออก  ตามหลักพุทธศาสนา  คุณไม่จำเป็นต้องทฤษฎีอะไรมากมายเกี่ยวกับข้อปฎิบัติทางธรรม  เราก็แค่ปถุชน  หน้าที่ของเราคือ ต้องทำตัวเองเป็นพลเมืองที่ดี  เคารพกฎกติกาบ้านเมือง เคารพกฎหมาย  เพียงแค่นี้สังคมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

มีบางคนอาจแย้งได้นะครับว่า  แล้วคนไม่ดี  นักการเมืองไม่ดี  ทำไมเอาเปรียบเราด้วยข้อกฎหมาย  นั่นเป็นปัญหาของเขาครับ  สิ่งที่เราควรพัฒนาคือข้างในของเรา  การทำใจยอมรับอะไรที่เรารู้ไม่โอเคร  มันยากสักหน่อย  แต่ถ้าคุณหมั่นฝึกใจของตัวเอง  แล้วปล่อยวางได้  ชีวิตคุณจะดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก  ตามหลักธรรมก็เคยสอนไว้เลย  "คนเราทำกรรมมาไม่เหมือนกัน  ใครทำดีก็ย่อมได้ผลดี  ใครทำชั่วก็ได้ผลชั่วเท่านั้นเอง"  ที่เราเป็นทุกข์ใจกันก็เพราะ  จิตใจเราไม่ปกติเราเอาใจไปจดจ่อกับบางเรื่องมากเกินไป  ทั้งที่เรื่องเหล่านั้น บางเรื่องก็ไม่ได้จำเป็นและมีประโยชน์กับชีวิตของเราเลยด้วยซ้ำ  เลิกทำตามและวิ่งตามคนอื่นได้แล้วครับ  จงตื่นมากับความเป็นจริงแล้วใช้ชีวิตตามแบบที่เราเลือกเอง

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศิลปะกับการใช้ชีวิต


แท้ที่จริงแล้วนะครับ  ศิลปะกับการใช้ชีวิต  แทบแยกไม่ออกจากกันเลยครับ  โดยเฉพาะชีวิตของการเป็นศิลปิน  คำนิยามของชีวิตคนเราในแต่ละคนมันก็แตกต่างกันออกไปนะครับ

บางคนมีความเห็นว่า  การได้ท่องเที่ยวหรือเดินทางไปที่ใหม่ ๆ ทำให้ตัวเองเกิดแรงบันดาลใจ

บางคนมีความเห็นว่า  การได้ใช้ชีวิตอยู่บ้าน กับครอบครัว  แค่นี้ก็คือความสุขในชีวิต

บางคนก็มีความเห็นว่า  การเดินช็อปปิ้ง  หาอาหารอร่อยๆ กิน  ได้ออกกำลังกายแค่นี้ชีวิตก็มีความหมาย

แท้ที่จริงความหมายของชีวิตที่ดีสุด  มันอาจไม่ได้มีอยู่จริงก็ได้ครับ  มันก็ขึ้นแต่ละคนว่าจะมองมันยังไงซะมากกว่า  การใช้ชีวิตจึงถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง สำหรับคำนิยามของผมนะครับ  การใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเอง  ไปแค่การท่องเที่ยวหรือการเดินทางเท่านั้น  ทุกอย่างในชีวิตคือการใช้ชีวิต  เพียงแค่เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างสังเกตุ  กับสิ่งรอบตัว  เรียนรู้เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม  ไม่ว่าจะไปที่ไหน  ชีวิตก็มักจะเกิดไอเดียใหม่ ๆ อยู่แล้ว

ถ้าหากเราไปโฟกัสว่าการเดินทาง  คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการสร้างแรงบันดาลใจ  นั่นก็เท่ากับไปปิดกั้นตัวเองมากไปครับ  กลายเป็นว่าจิตใจเราก็จะไปว้าวุ้นเกี่ยวกับการเที่ยว และการเดินทางตลอด  ทั้งที่ในความเป็นจริง  ชีวิตเราก็ยังต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง  ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีวิตกันไป

เราเลือกที่จะมีความสุขกับการใช้ชีวิต  พร้อมกับสร้างสรรค์งานศิลปะได้ทุกที่  ขอเพียงแค่คุณรู้จักมองให้เห็นและรู้จักสังเกตุให้มาก  คนเราพอสังเกตุให้มากก็จะมองเห็นอะไรที่ลึกขึ้น  จากทุกมุม เห็นอะไรบางอย่างที่มันซ่อนอยู่ในทุก ๆ สถานที่ที่เราไป  ซึมซับมันให้มาก ๆ  แล้วปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระกับทุกอย่าง  คุณก็จะได้รับพลังงานอะไรบางอย่างที่ทำให้ชีวิตคุณ  ได้สร้างผลงาน สร้างความแตกต่างขึ้น  เพราะจิตที่อิสระ  ปราศจากการควบคุมแล้วใช้หัวใจนำทาง  ย่อมจะได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมเสมอ

คนเราบางคน  เราใช้ความคาดหวังเป็นตัวนำทาง  ทำให้เราติดกรอปไปหมด  และไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยมออกมาได้  เวลาที่คุณนึกอะไรไม่ออกนะครับ  ผมอยากจะให้คุณลองกลับมาทบทวนตัวเอง  นึกถึงความรู้สึกอะไรก็ได้  ครั้งแรกที่คุณเคยทำมันได้ดี  ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างมันเป็นสิ่งใหม่อยู่เสมอ  ความที่ใหม่อยู่ตลอดเวลานั่นแหละครับ  ที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ของเรา

แต่ในท้ายที่สุดมนุษย์เรานะครับ  ต่อให้เราจะไปได้ไกลแค่ไหน จะอยู่สูงแค่ไหน  สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ที่เดิมเสมอ นั่นคือพื้นฐานของชีวิตคนเรา จะว่าไปแล้วชีวิตนี้มันเเสนจะสั้นนัก  ควรเลือกใช้ชีวิตและฝึกเข้าใจโลกให้เร็วขึ้น  ก็ย่อมได้เปรียบคนอื่น  บางคนกว่าจะยอมรับและเข้าใจโลก  กลายเป็นว่าอายุก็ปาไปใกล้เข้าฝั่งไปแล้ว  ได้แต่นั่งเสียดายกับเวลาที่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  ชีวิตมันก็เท่านั้นเองแหละครับ  แค่ยอมรับมัน และใช้ชีวิตที่เหลือของเราให้มีความสุขให้มากที่สุด  นี่แหละครับคือพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว  กำลังใจของเราเองนั่นแหละครับคือยาชั้นดีที่สุดในโลกเลย  ผมรับรองให้เลยครับ

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เตรียมตัวตายกันหรือยังครับ


เราพยายามวิ่งหาความสุขกันอยู่ตลอดเวลา  ยิ่งวิ่งก็รู้สึกจะเหมือนไกลออกไปทุกที  เพราะความสุขมันอยู่รอบตัวเรานั่นแหละครับ  ชีวิตเราเอาแต่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  หรือไม่ก็นึกหวนหาอดีตที่มันผ่านไปแล้ว  โดยที่เราก็หารู้ไม่ว่า  ความตายกำลังมารอเราอยู่ข้างหน้า

ผมมีคำถามหนึ่งกับท่านผู้อ่านนะครับ  ทุกวันนี้ได้เตรียมตัวตายกันหรือยังครับ  บางทีนะครับผมตื่นมา กลางดึก ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากความตาย  หรือไม่ก็ฝันว่าวิญญานเราออกจากร่าง  ไปในที่ ๆ เรายังไม่เคยไปมาก่อน

ผมก็เลยอยากรู้นะครับว่า.... คุณเคยวางแผนความตายไว้หรือไม่  ถ้าหากว่าคุณต้องตายไปในวันนี้เลย  มีอะไรที่คุณยังต้องเป็นห่วงไหม  หรือมีอะไรบ้างในชีวิตที่เรายังไม่ได้ทำ  และอยากที่จะทำมันแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ  คนเรามักจะประมาทและละเลยกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆนะครับ

อย่างเช่นตัวผมเอง  บางทีผมก็ชอบลืมไหว้พระก่อนนอน ทั้งที่ตอนเด็กเราถูกบังคับปลูกฝังให้ทำตลอดเวลา  เราลืมเรื่องอายุไปว่าเราอายุมากขึ้นแล้ว  ลืมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆหลายอย่างไป  เพราะชีิวิตเราเอาแต่วิ่งวุ่นอยู่กับสิ่งที่คิดว่า จะทำให้ชีวิตเรามันมั่งคงอยู่ได้  ทั้งที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายไปเมื่อไหร่  และก็ไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวตายด้วยซ้ำ  ตอนนี้ผมก็ได้มาเริ่มตั้งโจทย์ให้กับชีวิตตัวเองแล้วละครับว่า

ยังมีสิ่งไหนบ้างที่ผมยังไม่ได้ทำ  และอยากจะขอโทษหรือขอบคุณใคร  ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นมันผ่านไปง่าย ๆ  การจัดตารางชีวิตก็เช่นกัน  นอกจากการให้เวลากับการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แล้ว  เราต้องฝึกจิตตัวเอง  ให้เวลากับตัวเองได้นั่งสมาธิ  อยู่กับตัวเองให้มาก ๆ  ปล่อยวางทางโลกให้เร็วที่สุด

ใจที่มันนิ่งและรักษาสภาพจิตใจอยู่เสมอ  มันเป็นอะไรที่ิวิเศษมาก  เพราะต่อให้วิญญานเราจะหลุดออกจากร่าง  เราก็จะเป็นอิสระจากมันและไม่ต้องวังวลอะไรทั้งนั้น  อย่าไปพูดถึงเรื่องการสำเร็จธรรมขั้นสูงอะไรเลยครับ  แค่เอาพื้นฐานสภาวะจิตใจของเราให้มันนิ่งให้ได้ก่อน  เท่านี้ชีวิตก็ได้ขึ้นชื่อว่าคุณมาทางสายกลางแล้วครับ  การปล่อยให้ชีวิตทำอะไรตามอำเภอใจตัวเอง  มากจนเกินไป  มันก็ไม่ดีนะครับ  เพราะจิตใจมนุษย์มักจะพาเราไปหาอบายมุข  และสิ่งที่ตกต่ำอยู่เสมอ ๆ

โลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ  ในแต่ละวันเราบริโภคข่าวสารมากมาย  แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับเราจริง ๆ  เป็นเพียงเครื่องสร้างกิเลสและสิ่งเศร้าหมองให้กับจิตใจเราทั้งนั้น  การตามดูจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  จะทำให้เราสามารถเเยกแยะอะไรได้ดียิ่งขึ้น  ไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุทางโลก  และไม่หลงไปทำสิ่งไม่ดีที่เป็นบาป

คนที่มีจิตใจเป็นธรรมมะ  อยู่ที่ไหนเทวดาก็คุ้มครอง  การทำบุญไม่ได้จำกัดไว้แค่การบริจาคทานเท่านั้น  การให้ความรู้  ให้ธรรมมะ  หรือแม้กระทั่งการนึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย  ล้วนนำมาซึ่งผลบุญทั้งนั้น  คนบางคนยอมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพียงเพราะต้องการให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น  โดยไม่แยกแยะถูกผิด  ในท้ายที่สุด  จิตก่อนตายก็ต้องพาไปนรกเป็นที่ตั้ง  วันนี้เรามาเริ่มเตรียมตัวตายกันได้แล้วครับ

ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ  ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  ใช้ธรรมชาติเป็นตัวบำบัดความทุกข์ใจ  ความเศร้าหมองของจิตใจ  กิเลส และสิ่งยั่วยุ  พาจิตใจตัวเองให้สูงและเข้าถึงธรรมชาติให้ได้  ปล่อยวางและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพียงเท่านั้นก็คือการเตรียมตัวตายที่ดีแล้วครับ  สุดท้ายผมขอฝากไว้ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความเหลื่ยมล้ำในสังคมไทย


เมื่อวานเพื่อนผมคนหนึ่งมาปรึกษา เรื่องเกี่ยวกับการหางานใหม่  ผมก็ลองถามหาสาเหตุที่เขาอยากเปลี่ยนงาน  ก็มาจากปัญหาทั่วไปที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องเจออยู่แล้วครับ  โดยส่วนตัวผมปัญหาของมนุษย์มักจะไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่  มันก็จะวนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ  นั่นแหละครับ

สิ่งที่ทุกคนกลัวกันมากที่สุดก็คือ  กังวลกับอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง  มันก็ช่างน่าแปลกใจนะครับ  คนเราพอทำงานไปสักพัก  เริ่มมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง  จึงเป็นเหตุให้สังคมไทยเลยหันหลังให้งานบริษัทเอกชนมากขึ้นทุกวัน  แล้วกลับผันตัวเองไปสอบเป็นข้าราชการแทน  ถึงแม้เงินเดือนจะน้อย  แต่ความรู้สึกมั่นคงในระยะยาว  มันดีกว่า  เพื่อนผมทำงานบริษัทญี่ปุ่นหลายคน  เงินเดือนสูง โบนัสก็เยอะก็ยังมีความคิดแบบนี้เลย 

กลับกลายเป็นว่าสังคมไทยคนเก่ง  แห่ไปทำงานราชการกันหมดแล้ว  ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าระบบราชการไทยเป็นอย่างไร  ตรงนี้ผมขอเว้นนะครับ  ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  ถ้าหากภาคเอกชนไทย  จำเป็นต้องจ้างต่างชาติ (เพื่อนบ้านในอาเซียนเข้ามาทำงานแทน)  ผมหมายถึงงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางนะครับ 

คนไทยจะมาบ่นกันไม่ได้  เพราะระบบสังคมสร้างกันมาแบบนี้เอง  ผมอยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนมากกว่านี้  เพราะประเทศไทย อย่างที่ทุกท่านทราบ  ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริง ๆ คือภาคเอกชนนะครับ  สังเกตุได้จากต่อให้การเมืองเราไม่นิ่ง  แต่ประเทศเราก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้  ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก 

เหตุผลที่ผมคิดแบบนี้ก็เพราะว่า  คนไทยเป็นคนเก่ง  แต่คนเก่งกลับอยากสบาย  นั่นก็ไม่ผิด ก็เลยเลือกงานที่สบายและมั่นคงเป็นอันดับแรก  แต่ถ้ามองในระดับมหัพภาค  ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกวันนี้ก็คือ ภาคเอกชน  นับวันคนเก่งน้อยลงเพราะไปสอบเข้าราชการกันหมด  คุณก็ลองมองภาพจากปัจจุบันไปอนาคตก็พอทราบแล้วนะครับ  ว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ค่านิยมทางสังคมเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงกันยากจริง ๆ ครับ  ผมก็เข้าใจนะครับว่า ภาคเอกชนยังมีข้อจำกัด  ในหลายด้านที่ไม่มีผลในการจูงใจ  คนเก่งเข้ามาทำงานได้มากเท่าที่ควร  (ถ้าไม่มองไปถึงบริษัทใหญ่ ๆ นะครับ แต่มันก็ส่วนน้อยจากทั้งประเทศ)  จะว่ากันไปแล้วผมมีเรื่องขำ ๆ อย่างหนึ่งนะครับ

ที่คนส่วนใหญ่พูดว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก  อันนี้มันก็มีส่วนจริงอยู่นะผมว่า ... แต่ในข้อเสียก็มีข้อดีอยู่ครับ  มันเลยทำให้คนไทยเป็นคนไม่ติดกรอบ  และมีความคิดสร้างสรรค์ที่สูงมาก  เรียกว่าบางทีหลุดจักรวาลไปเลย  จะสังเกตุได้ครับว่าคนอ่านหนังสือมากๆ  เป็นคนเก่งก็จริง  แต่ก็มีความกลัวซ่อนอยู่  ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจกับบางเรื่อง  ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญกับชีวิต

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วทุกประเทศต่างก็มีปัญหาของตัวเอง  ยังไงก็แก้ไขกันไปนะครับ  สิ่งสำคัญคือ  ตัวเราต้องรู้จักตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด  เราอาจไม่ใช่คนที่เยี่ยมที่สุด  แค่เราทำหน้าที่ของตัวเราเองให้ดีสุด  ผมก็มั่นใจว่าถึงเเม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดทุกอย่าง  แต่ก็ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมากเลย


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เข้าใจความแตกต่าง และเลือกทำในสิ่งที่เราถนัด


สองสามวันมานี้  ผมกลับบ้านเพราะยุ่งอยู่กับงานแต่งงานของน้องชาย  ตัวผมมีความรู้สึกว่าตัวเอง  ยังมีข้อบกพร่องที่ยังต้องปรับปรุงอีกมากมาย  คนเราไม่เก่งไปทุกเรื่องหรอกว่าไหมครับ

เพราะฉะนั้น  หัวข้อที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ก็คือ  เลือกทำในสิ่งที่เราถนัดก็พอ  สิ่งไหนที่เราไม่ถนัดเราก็แค่ปล่อยให้คนอื่นเขาจัดการไปดีกว่าครับ  การทำกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเรา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ธุรกิจ  การสังสรรค์  ทุกอย่างล้วนต้องพบเจอผู้คนทั้งสิ้น

ความฉลาดในการวางตัว  และควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก บุคคลจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราแสดงออก  โดยเฉพาะยิ่งกับคนสนิทใกล้  ไม่ควรที่จะไปใช้อารมณ์กับเขาให้มาก  คุณต้องรูจักควบคุมอารมณ์ให้ดี  ยอมรับและเคารพในความแตกต่างที่เกิดขึ้น

ถ้าหากจะมองกันจริง ๆ แล้วพฤติกรรมนิสัย  ความชอบของเรา  ล้วนส่งผลต่อความถนัดและไม่ชอบของเราไปด้วย  บางทีนะครับผมว่า  การที่เราเป็นคนธรรมดามันที่ดีทีสุดแล้วครับ  มันทำให้ผู้คนเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น  การเป็นคนง่าย ๆ อ่อนน้อมถ่อมตน  ทำให้มีแต่ผู้คนรักและอยากที่จะให้การช่วยเหลือเรา  ถ้าหากเราเป็นคนที่หยิ่งทนงตนเอง  ก็ยากที่จะมีคนคบค้าสมาคมด้วย นิสัยมนุษย์ไม่อยากให้ใครเด่นกว่าตัวเองหรอกครับ

บางทีแกล้งโง่บ้างก็ดีนะครับ  ต่อให้เรารู้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกว่าเราฉลาดไปซะทุกเรื่องก็ได้  โลกใบนี้เราไม่รู้จริง ๆ หรอกครับว่า  เขาหวังดีกับเรามากน้อยแค่ไหน  การที่เราเป็นคนง่าย ๆ มันก็ทำให้ชีวิตเราง่ายไปด้วย  บางทีชีวิตเราก็กังวลกับอะไรมากมายไปหมด จนเราไม่กล้าที่จะลงมือทำและตัดสินใจกับอนาคตของตัวเอง  กลัวความไม่มั่นคงแน่นอนในชีวิต

สิ่งที่ดีที่สุดของความมั่นคงก็คือ  "เราต้องพอดี พอใจ กับสิ่งที่เป็นอยู่"  นี่แหละครับจึงจะทำให้สภาวะจิตใจเรามั่นคง พอจิตใจมั่นคง  ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอะไร  ต่อให้มันผิดพลาดไปบ้าง  ก็ถือว่าเราได้ยอมรับความเสี่ยงมาระดับหนึ่งแล้ว  การตั้งเป้าหมายในชีวิต  ไม่ใช่แค่ใช้เงินเป็นตัววัดอย่างเดียว  แต่เงินคือปัจจัยที่เกี่ยวเนื่อง  และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

การเลือกทำในสิ่งที่ชอบ  และถนัดก่อให้เกิดการสร้างผลงาน  สร้างสิ่งใหม่ให้กับโลกเรา  สิ่งที่จะสร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับคุณ  โดยส่วนตัวผม  คนขยันอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ครับ  ขอเพียงเรามีวินัยในการใช้จ่ายเงิน  รู้จักหาให้ได้มากกว่าจ่าย  และมองหาลู่ทางใหม่ ๆ ในการทำมาหากิน  อย่าไปวางแผนให้ใหญ่ก่อนเลยครับ  แค่ทำจากจุดเล็ก ๆ ไปก่อน  แล้วค่อย ๆ ขยับขยาย  ในที่สุดคุณก็ประสบความสำเร็จได้

โลกเราทุกวันมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก  สำหรับประเทศไทยผมว่า  ความหลากหลายนี่แหละคือ เสน่ห์  ที่เรามีไม่เหมือนใคร  ภายนอกดูวุ่นวาย  แต่ภายในเราเต็มไปด้วยความอบอุ่น  ไม่ว่าจะเป็น  วัฒนธรรมความเป็นอยู่  ภาษาที่ใช้  อาหารการกิน  หรือแม้กระทั่งหน้าตา  (หลายคนอาจบอกว่า ยุคนี้ต้องสวยหล่อแบบเกาหลี  แต่ผมว่า  สวยในแบบที่เราเป็นนี่แหละคือสิ่งที่วิเศษสุด  ถ้าทำมาแล้วหน้าเหมือนกันทั้งประเทศ  ผมว่า..โลกนี้คงน่าเบื่อซะมัด  เพราะความแตกต่าง  คือสิ่งที่ทำให้คนเราโดดเด่น  และมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเราเอง)

ใครจะว่าอะไรยังไงผมก็ไม่อาจทราบได้  บางทีความต้องการของมนุษย์แบบไม่มีสิ้นสุด  มันก็ทำให้โลกพัฒนาไปข้างหน้าได้  แค่เราต้องรู้ขอบเขตเท่านั้นเอง  การวิ่งตามคนอื่นมีแต่ทำให้เรายิ่งถอยหลัง  แต่ถ้าชัดเจนกับตัวเรา  เลือกทำในสิ่งที่จะพาใจเราไปยังสิ่งที่เราถนัด  เสริมสร้างมัน  พัฒนาต่อยอดมัน  ยังไงซะการเป็นผู้นำ  ย่อมดีกว่าการที่เราต้องเป็นผู้ตามเขาตลอดไปแน่นอนครับ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ภาษาไทยในญี่ปุ่น


วันนี้ผมขอพูดในหัวข้อนี้แล้วกันครับ  เพื่อนบ้านในอาเซียน มักจะมีคำถามมาตลอดว่า  ทำไมคนไทยจึงชอบเปรียบเทียบตัวเองกับประเทศญี่ปุ่นมากกว่าประเทศในแถบอาเซียนด้วยกัน

เหตุผลส่วนตัวของผมนะครับก็เริ่มจากคำว่า  ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีกับเรามาอย่างยาวนานมาก  หากย้อนไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ทหารนำพลขึ้นบกที่ไทย  ในเวลานั้นผมคิดว่า คนไทยก็คงกลัวมากกับเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก  แต่ทหารญี่ปุ่นก็ให้ความเชื่อมั่นกับไทยกับเราว่า  ต้องการเป็นพันธมิตร  และจะไม่ทำร้ายประชาชนของเรา

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นก็ได้ปิดประเทศไปนานทีเดียว  เมื่อได้มีการเปิดประเทศ  ประเทศแรก ๆ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็คือ ญี่ปุ่น  (จากประเทศไทยที่ยังไม่ได้พัฒนาอะไรมากมายแต่เขาก็ให้ความเชื่อมั่นกับไทยเรา)  เหตุการณ์ความประทับใจในหลาย ๆ อย่างและความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นตลอดหลายร้อยปี  ประกาศแรก ๆ ก็คือ 1.ศาสนา  2. สถาบันกษัตริย์ 3.วัฒนธรรมที่มีอย่างยาวนาน นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนไทยถึงชอบญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

และนอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมาย  ที่เมื่อประเทศไทยประสบปัญหา  ญี่ปุ่นจะเป็นชาติแรกที่กระโดดเข้ามาช่วยเหลือไทยเรา  จากความสัมพันธ์ก็กลายมาเป็นความผูกพัน  ทุกวันนี้อะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นคนไทยแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก  ในขณะเดียวกันกระแสประเทศไทยที่ญี่ปุ่น ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน  วัฒนธรรมธรรม การท่องเที่ยว  ไม่แตกต่างอะไรจากที่เราก็นิยมชมชอบญี่ปุ่นเลยครับ

ในโตเกี่ยว  มีโรงเรียนสอนภาษาไทยเกิดขึ้นมากมาย  ทำให้ผมได้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นประเทศไทยเราโชคดีนะครับ  เรามีภูมิประเทศที่สวยงาม  มีภาษาที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่สวยงาม แบบนี้คนไทยเราทำไมถึงได้ดูถูกประเทศตัวเองครับ  เราควรช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอดสิ่งเหล่านี้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเรา  (ต้องขอขอบคุณพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมาก ๆ เลยครับ  ที่มีภาษาไทยให้เราใช้ถึงทุกวันนี้)

อย่างที่เราทราบ  เราไม่ใช่ชาติที่อนุรักษ์นิยมอะไรมากมาย  เเต่เราก็ไม่เคยลืมรากเหง้าของความเป็นไทยเราจริง ๆ  ถึงแม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเยอะมาก  แต่เราก็สามารถผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว  นี่แหละคือเสน่ห์ของไทย  คนไทยเป็นคนที่เปิดรับ และเปิดใจกับคนหลากหลายเชื้อชาติมาก  นับว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ  ที่เราถูกสอนไม่ให้เหยียดเชื้อชาติ  ในแง่ของภาษาไทยแล้ว  สำหรับผมภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก  แต่ก็เต็มไปด้วยถอยคำที่สุภาพมากมาย เช่น  ขอบคุณครับ  ขอบคุณค่ะ  สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ มันฟังดูมีหางเสียง  และน่าเอ็นดูมาก

เราเติบโตมากับสังคมพุทธศาสนา  ศาสนาหล่อหลอมให้คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ  และรู้จักเสียสละ รู้จักให้อภัยผู้อื่น  เราถูกสอนว่าการเอาเปรียบผู้อื่นเป็นเรื่องที่น่าละอาย  และอีกหลากหลายอย่าง  ข้อที่สำคัญที่สุดคือ  ความจริงใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์  นับเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยครับ  โลกเราเต็มไปด้วยความวุ่นวายมากพอแล้วครับ  สำหรับต่างชาติบางคนบอกว่าประเทศไทยอากาศร้อน  ใช่ครับบ้านเราอากาศร้อน  แต่คนไทยมีน้ำใจ  มีรอยยิ้ม  สิ่งที่นี้แหละมันเป็นยาวิเศษที่คลายร้อนได้เป็นอย่างดี  ในมุมของคนต่างชาติการได้เห็นรอยยิ้ม  เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากสำหรับพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอีสาน  เป็นสังคมที่ผมว่า..มีเสน่ห์มากนะครับ  มันสะท้อนอะไรได้ดีมากมายเลยทีเดียว ผมไม่ได้อวยนะครับ  ตัวผมเป็นเป็นคนเหนือครับ  แต่ชอบฟังเพลงอีสานมาก  ผมว่ามันมีเอกลักษณ์และสนุกมากกว่าเพลงเกาหลีซะอีก  ความชัดเจนในภาษา สะท้อนความเป็นพื้นบ้านของท้องถิ่นออกมาได้อย่างลงตัว  นี่แหละครับคุณค่าแก่การอนุรักษ์ไว้มาก  ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง  คุณค่าทางวัฒนธรรมก็ยังสะท้อนได้เป็นอย่างดี  ไม่เคยหลุดจาก Trend ของโลกไปได้ ขอบคุณจากใจจริงครับ

การพัฒนาที่ยั่งยืนที่สุดในมุมมองของผม  ก็คือ  การอนุรักษ์ในเรื่องศิลปะวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ได้นานที่สุด  ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถสร้างมูลค่าและเพิ่มคุณค่าไปได้ในตัว  คุณอาจสามารถสร้างตึกสูงเสียดฟ้าได้  แต่ก็ไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ในความเป็นชาติได้  ในที่สุดก็จะถูกทอดทิ้งได้  ตั้งสติก่อนจะคิดและทำอะไรให้รอบคอบก่อนนะครับ  ว่า..เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ?  ผมฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ให้เวลากับตัวเอง


ช่วงที่จิตใจคุณว้าวุ่นกับอะไรบางอย่าง กำลังสับสน  มีความไม่มั่นคงทางด้านจิตใจเท่าที่ควร  นั่นกำลังแสดงให้เห็นว่า  มีบางอย่างที่เราต้องเริ่มชัดเจนกับตัวเอง  เราต้องให้เวลากับตัวเองแล้วละครับ  คนเราบางทีการวิ่งเร็วจนเกินไป  ก็อาจทำให้เราหกล้มไม่เป็นท่าได้  ค่อย ๆ ไปเดี๋ยวก็ถึงได้เช่นกัน

ผมมานั่งทบทวนตลอดเวลาที่ผ่านมานะครับ  ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามการบริโภคข่าวสาร  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั่นแหละ  โลกก็ยังเหมือนเดิม  แต่ความคิดเรานั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงไปตามการรับรู้  เราไม่อาจปฎิเสธได้จริง ๆ  โดยเฉพาะบางที  ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ  หาไม่มันอาจส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน  เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบโลกสวย  แบบคนหน้าบางว่า  มนุษย์เราต้องเป็นคนดี  ทั้งฉากหน้าและฉากหลัง  แต่ในวงการธุรกิจมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปซะหมด 

กฎไกลบางอย่างที่ซับซ้อน  เราไม่สามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ยุคนี้ได้  เพราะมันเต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สิ้นสุด  เราไม่อาจคาดเดาว่าคนที่เราเชื่อใจ  จะอยู่ข้างเราได้เสมอไป  เพราะไม่แน่ว่าเมื่อผลประโยชน์เขามาเกี่ยวข้อง  เขาอาจจะเปลี่ยนใจจากเราได้เสมอ  ทุกคนต่างก็ต้องการได้รับสิ่งที่สุดที่สุด  เพราะนั่นแหละคือ มนุษย์  ฟังดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องความเห็นแก่ตัวอะไรหรอกครับ  แต่คนไทยเราถูกสอนมาแบบนี้  เลยทำให้เรากลายเป็นคนขี้เกรงใจ  และมองว่าหากตัวเองถูกกระทำแบบนี้  คือ โดนรังแก และถูกเอาเปรียบ 

แท้ที่จริงมันคือ ความเป็นจริงของโลก  ใครที่มีอำนาจต่อรองมากกว่า  ผู้นั้นก็คือคนที่อยู่เหนือกว่าเท่านั้นเอง  สิ่งที่มนุษย์ทำได้ก็คือ  เราต้องรู้จักการปรับตัวในการดำรงชีวิตอยู่  แบบชาญฉลาด  รู้ทันเหตุการณ์ และทันผู้คน  เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ  หรือหากต้องตกเป็นรองเราก็จะได้เสียเปรียบได้น้อยที่สุด  นี่แหละโลกของความเป็นจริง 

คนไทยเป็นคนที่อ่อนไหวกับบางเรื่องค่อนข้างมาก  และจะกลัวการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งใหม่  พอจะทำอะไรก็ตามแต่  สิ่งแรกที่มองออกมาก่อนว่า  "จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่"  เรามองอะไรที่เป็นระยะสั้นจนเกินไป  เราถูกฝึกสอนแค่ให้คิดถึงแค่ "กำไรและขาดทุน" แท้ที่จริงนะครับ ผมอยากให้คนไทยเราคิดให้ลึกกว่านั้น  มองข้ามเรื่องตัวเลขเหล่านี้ไปก่อน  แต่ให้ไปโฟกัสในระยะยาวที่เราจะได้  และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เพราะบางทีการที่เราไปตัดสินอะไรจากระยะสั้น  มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น  มีแต่จะทะเลาะกันและจบไม่สวย

พอเราโตขึ้นเราเรียนรู้กฎไกลบางอย่างที่มันซับซ้อนขึ้นทุกที  จนเราห่างไกลกับความเป็นธรรมดาไปมาก  เรากลับดูทนงตัวเองมากขึ้น  แต่กลับกัน  นับวันเรายิ่งห่างไกลจากความเป็นตัวตนของเราไปมากขึ้น  เราลืมเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตเรา  เราลืมไปว่าเรามาจุดนี้เพื่ออะไร  อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำ และจะไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการได้อย่างไร  การให้เวลากับตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

 เริ่มยังไงเหรอครับ  เริ่มจาก...กลับมาที่จุดที่คุณเริ่มต้นแรก  ๆ  ผมไม่ได้ให้คุณถอยไปจุดเริ่มต้นแบบนั้น  หมายถึงการทบทวนว่าเรามาที่นี้ตั้งแต่แรกเพราะอะไร  เราต้องการอะไรจากที่ที่เราเป็นอยู่  ใช้เวลาทบทวนและอยู่กับตัวเราเองให้มาก ๆ  เลิกติดตามข่าวสารบ้างก็ได้  ให้ใจเรามันได้พักจริง ๆ จากเรื่องวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตของเรา  ตัดเรื่องกังวลและเรื่องที่เข้ามารบกวนจิตใจเราออกไปให้หมด 

จิตคนเรานะครับ  พอมันเริ่มนิ่งมันก็จะเหมือนน้ำที่ใสสะอาด  เราจะเห็นความจริงบางอย่าง  เราจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้น มันคือความต้องการที่แท้จริงของเรา มนุษย์เราไม่สามารถปฎิเสธความต้องการที่มันอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเราได้หรอก  เพราะในท้ายที่สุด มันจะกลับมารบกวนจิตใจเราอยู่นั่นแหละ  ถ้าหากว่าเรายังทำมันไม่สำเร็จ  เพราะมันคือ "จิตใต้สำนึก" ของเรานั่นเอง  ก่อนอื่นเราต้องยอมรับในความต้องการนั่น แบบตรงไปตรงมา  พอเราเริ่มเข้าใจมัน  และปรับตัวกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราได้  ก็จะมีพลังงานบางอย่างส่งมาที่เรา  พลังงานนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคน  มันซ่อนอยู่และจะผลักดันให้เราทำอะไรบางอย่าง  และคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับตัวเราเอง  ผมเรียกมันว่า "สติ" มันอยู่กับเรามาทั้งชีวิต เพียงแต่เราไม่เคยที่จะศึกษาและทำความเข้าใจกับมันต่างหาก  

ในท้ายที่สุดของชีวิตมนุษย์  ต่อให้เราจะร่ำรวย สูงส่งขนาดไหน  หรือว่าเราจะกลายเป็นผู้มีอำนาจบารมีมากมายแค่ไหน  ถ้าหากเราไม่เขาใจในพลังงานตัวนี้  ก็ยากที่เราจะควบคุมตัวเราเองได้  ผลเสียของการควบคุมมันไม่ได้  เราก็จะกลายเป็นปีศาจที่ฆ่าตัวเราไปทีละน้อย  รอความตายเพื่อให้ยมฑูตมาพรากวิญญานอันไม่บริสุทธิ์ของเราไปเอง  ชีวิตมันอยู่ที่เราเลือก เราจะเป็นผู้ควบคุมมันหรือให้มันมาควบคุมเรา  เพราะฉะนั้นจงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีสติครับ


วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Asian trend


พูดถึง Trend ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในเอเชียบ้านเรา  ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายรูปแบบ เป็นต้นว่า

ประเทศญี่ปุ่น     Trend คือ  (วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร เทคโนโลยี และการดูแลสุขภาพ)

ประเทศจีน        Trend คือ (ผู้นำของอาเซียน เทคโนโลยี  การศึกษา แพทย์แผนจีน เศรษฐกิจแนวหน้า)

ประเทศเกาหลี   Trend คือ  (เพลง ละคร ซีรีย์ นักแสดง และการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า)

ประเทศไทย      Trend คือ  (วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร และการศัลยกรรมแปลงเพศ)

ประเทศสิงค์โปร์  Trend คือ (การศึกษา การท่องเที่ยว และ การพัฒนาบุคลากร)

ประเทศฮ่องกง  Trend  คือ  (การค้าขายแบบเสรี  ธุรกิจ และการศึกษา)


จริง ๆ มีอีกหลายชาตินะครับ  ผมขอเอาชาติที่คนไทยรู้จักมากที่สุดมาพูด  คุณเห็นอะไรจากสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่ผมเห็นก็คือ  Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเอเชีย  เม็ดเงินที่จะไหลเข้าประเทศแถบเอเชียเหล่านี้  และบทบาทที่จะมีต่อสังคมโลกที่จะเปลี่ยนไป  เอเชียกำลังจะกลายเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นเอเชีย Need ที่จะเกิดการผสมผสานความเป็นเอเชียเข้าด้วยกัน  แบบแยกกันไม่ออก  ต่างกันแต่เอกลักษณ์ของชาตินั้น ๆ  ยกตัวอย่างประเทศเกาหลี  หน้าตาแบบดารา นักร้อง นักแสดงเกาหลี กำลังเป็นที่นิยมใน Trend ปัจจุบัน  แต่ในอนาคตผมเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนไป  (Asian look)  จะเข้ามาแทนที่ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คำว่า Asian look เป็นยังไงก็ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว ในมุมของผม ขอสรุปดังนี้

1.หน้าตาสวยหล่อ  แบบเอเชีย  และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามเชื้อชาตินั้น ๆ

2.มีเสน่ห์ในแบบที่คนเอเชียควรจะมี เช่น ความเคารพต่อผู้ใหญ่  พ่อแม่ และผู้พระคุณ

3.มีรสนิยม  ในที่นี้ผมหมายถึงแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองได้ดี  ในแบบที่เชื้อชาติของตัวเองจริง ๆ  ไม่ใช่การตาม Trend หรือกระแสโลก

ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงครับ  เพราะการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต  จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ อะไรหรอกครับ แค่โลกมันดูแคบลง เนื่องจากเทคโนโลยียุคใหม่ ทำให้ผู้คนเข้าถึงกันได้มากขึ้น  ก็เลยเกิด Trend ใหม่ ๆ ขึ้น  ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ให้มากหรอกครับ  แต่รู้ไว้มันก็ดีกว่าที่เราตามโลกไม่ทันเลย  ถึงแม้เราจะเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กบนโลกใบใหญ่นี้  แต่มนุษย์ตัวเล็กก็สามารถจะสร้าง"คุณค่า" ให้กับโลกใบนี้ได้  เพราะฉะนั้น  เราจึงไม่ควรดูถูกซึ่งกันและกัน  ไม่มองว่าชาติเขาต่ำกว่า  หรือชาติเราดีกว่าเขา นั่นเป็นความคิดของคนที่ดูไม่มีการศึกษา  และไม่ได้รับการพัฒนาทางด้านความคิดเอาซะเลย

คนยุคใหม่เราเป็นเอเชียด้วยกัน  เราควรแสดงศักยภาพรวมกันให้เป็นหนึ่ง  ทำให้ชาติตะวันออกอย่างเรา  เจริญรุดหน้าทั้งทางด้านวัตถุ ด้านศีลธรรม และการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สูงสุด  เพราะนั่นคือสิ่งที่จะส่งต่อกัน  ให้รุ่นหลัง ๆ  สามารถนำไปพัฒนาชาติบ้านเมืองได้ดียิ่งกว่าในยุคของเรา  กว่าที่เอเชียของเราจะลืมตาอ้าปากกันได้  มันก็ปามาหลายทศวรรษแล้ว  ผมว่ามันน่าคิดนะครับ  เพราะปัจจุบันคือสิ่งที่จะสะท้อนไปได้ดีในอนาคต

     

ตีแผ่สังคม


ในปีที่ผ่านประเทศไทยมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย  และในทุก ๆ เหตุการณ์ก็มีทั้งคนที่เจ็บปวด เป็นทุกข์ แต่เราก็ผ่านมันไปได้ดี  วันนี้ผมขอมาพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นสังคมเรื่อง ทุนนิยม  ที่กำลังแพร่ขยายไปทั่วประเทศไทย

โดยเฉพาะข่าวฮอตในช่วงนี้  "ซีพีกำลังเตรียมจะเปิดร้านอาหารตามสั่ง 24 ชั่วโมง"  พอข่าวนี้ออกมานะครับ  มีแต่คนมาคอมเมนท์ในทางลบเยอะมาก  จากพวกนักเลงคีย์บอร์ด  จะว่ากันไปแล้วสิ่งที่เขาพูดมานั้นมันก็ถูกนะครับ  แต่มันแค่ส่วนเดียวเท่านั้น   แล้วอะไรคือส่วนที่เหลือ

เอาเป็นว่าในมุมของผม  ผมขอมองแบบนักเศรษฐศาสตร์นะครับ  ประเด็นเกี่ยวกับการที่ซีพีจะมาเปิดร้านอาหารตามสั่ง  ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ  (ยิ่งถ้าเขามีมาตรการเกี่ยวเรื่องเหล่านี้แบบชัดเจนและไม่เป็นการเอาเปรียบพ่อค้าแม่ค้าจนเกินไป) ในแง่ไหน

1.การควบคุมราคาสินค้าทางอ้อม  พ่อค้า แม่ค้า ส่วนใหญ่พอน้ำมันขึ้น ราคาแก๊สหุ้งต้มขึ้น  ก็จะใช้เหตุผลนี้ในการขึ้นราคาสินค้า  เวลาขึ้นทีไม่ได้ขึ้นทีละ 1-2 บาท แต่ขึ้นทีละ 5-10 บาท มองแล้วก็ไม่ต่างจากผู้บริโภคคือคนที่เสียเปรียบนะครับ  และพอราคาน้ำมันหรือเเก๊สมันลดลง  ราคาอาหารตามสั่งก็ไม่ได้ลดลงตาม

2.เกิดการจ้างงานเพิ่ม  ในการทำร้านอาหารจำเป็นต้องมี พนักงานเสริฟ์  คนล้างจาน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ คนทำอาหาร

3.ทางเลือกสำหรับใหม่สำหรับผู้บริโภค  โดยปกติถ้าหลังจากเย็นไปแล้ว เราแทบจะหาซื้ออาหารกินไม่ได้เลย  แบบที่เป็นตามสั่งนะครับ  ที่ซีพีเห็นช่องว่างตรงนี้  ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยครับ ยิ่งในสังคมเมืองปัจจุบัน  ทำงานกันแทบ 24 ชั่วโมง นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

จริง ๆ ก็มีอีกหลายเหตุผลนะครับ  เหตุผลที่ผมคิดแบบนี้ผมมองว่า  สังคมไทยโดยส่วนใหญ่เราจะเป็นพวกมนุษย์เดือน  กับพวกชนชั้นแรงงานที่มีการจ้างแบบรายวัน ถ้าหากผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ได้รับความสะดวกสบาย  และเป็นธรรม ย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมาก  อีกประการหนึ่งในมุมของพ่อค้าแม่ค้า  ที่ขายอาหารตามสั่ง ต่อให้ราคาสินค้าขึ้นจริง  ก็ไม่ได้ทำให้คุณขาดทุน เพียงแค่ได้กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง  (ถ้าหากว่าร้านคุณยัังมีคนเข้าแบบสม่ำเสมอ)  อีกอย่างรายได้ของอาหารตามสั่ง ผมว่ามันผันแปรกับปริมาณที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า ว่าคุณจะได้กำไรมากหรือน้อย  ไม่ได้เกี่ยวกับราคาสินค้าที่แพงขึ้นสิ่งนี้มันเป็นผลกระทบทางอ้อมไปมากกว่า

ที่ผมเขียนหัวข้อนี้ผมไม่ได้มีส่วนได้อะไรกับซีพีเขานะครับ  เพียงแต่ว่ามองอีกมุมที่คนไทยหลายคนอาจมองข้ามไป  เป็นเรื่องที่แปลกมากกับสังคมไทยเรา  นับวันเราเป็นคนคิดลบกันมากขึ้น  เราเชื่อใจคนอื่นน้อย สนใจเรื่องของคนอื่นมากขึ้น จนแทบไม่มีเวลาไปจัดการกับปัญหาของตัวเอง  ในที่สุดก็กลายเป็นปัญหาสังคมไป  

บางทีนะครับผมเห็นในโลกโซเซียล  มีการด่าประเทศของตัวเอง  ผมมีความรู้สึกเสียใจแทนประเทศชาติเลยครับ  ที่คนไทยไม่รักประเทศของตัวเอง  ผมอยากจะบอกคุณนะครับว่า  ถ้าคุณได้ลองไปทำงานไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ  ไม่ใช่การไปเที่ยวนะครับ  คุณจะรู้ว่าประเทศไทยของเรานี้โชคดีที่สุดแล้ว  ส่วนตัวผม  ผมไม่เคยสนใจเลยครับว่าคนในชาติอื่นเขาจะมองมาที่ประเทศเราอย่างไร  แต่ผมรู้สึกภูมิใจในชาติของตัวเอง ในรากเหง้าของความเป็นไทยเรา  มีธรรมชาติสวยงาม  มีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์  มีฝนตกตลอดทั้งปี มันคือเมืองสวรรค์จริง ๆ ครับ


วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เปลี่ยนโลกใหม่ด้วยกัน

ทัศนคติ  คือ สิ่งที่กำหนดบทบาทและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคุณ 




ผมไม่แน่ใจคุณเคยพบเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า  บางทีเวลาที่คุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง  ในตัวคุณ  มันจะมีความรู้สึกภายในที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น  จนบางครั้งคุณเก็บเอาไปฝัน  ผมไม่แน่ใจนะครับว่า เขาเรียกการตกผลึกความฝันหรือเปล่า

เรือที่ขาดหางเสือ  ก็อาจทำให้เราหลงทิศทางได้  นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และนี่แสดงให้เห็นว่า ทำไมมนุษย์ต้องอยู่ด้วยความหวัง และมีเป้าหมายเป็นที่ตั้ง  อาจฟังดูเหมือนกุศโลบายนะครับ  แต่ถ้าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปแบบวัน ๆ หนึ่ง

คุณก็รู้ว่าในหนึ่งวันเราเจอเรื่องราว และเหตุการณ์ใหม่ ๆ มากมายหลายร้อยเรื่อง  จิตใจของคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไป  ไม่ต่างอะไรจากกระแสน้ำที่ไหล  เราจึงจำเป็นต้องมีสิ่งยึด นั่นก็คือ "เป้าหมาย"  เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการใช้ชีวิตจริง ๆ ของเรา

ผมมั่นใจเลยครับว่าหลายท่าน  คงไม่อยากเป็นคนที่ล้มเหลว  หรือไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน  มนุษย์เราต่างก็อยากไปที่จุดนั่น และได้ตั้งเป้าหมายกับสิ่งนั้น ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะครับ  หลายคนมักตั้งคำถามว่า  อะไรคือความสุขที่แท้จริง ?

คำนิยามเป็นคำถามที่กว้างและยากจะตอบได้แบบดีที่สุด  มันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติ  มุมมองการใช้ชีวิตของคนเราแต่ละคน  ไม่ผิด ไม่ถูก  บางทีชื่อเสียงที่เราได้มา ก็เหมือนยาพิษที่คอยรอวันทำร้ายเราก็ได้  เราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน    ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ  เพราะฉะนั้นเมื่อคุณได้เจอสิ่งที่คิดว่ามันใช่  ก็ควรลงมือทำไปเถอะครับ  มันอาจไม่มีคำว่าพร้อมอยู่จริง ๆ ก็ได้

สังคมที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก  ที่เต็มไปด้วยหน้ากาก  จนเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ข้างใน  เราอาจหลงทางได้บ่อย  มนุษย์พอเรามีมากขึ้น คนที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากตัวเราก็มากขึ้น  มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ  เพราะนั่นคือมนุษย์มักจะมีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน

คนบางคนอาจไม่เข้าใจ  ในความคิด และการแสดงออกของบุคคลในแต่ละชาติ  แต่ถ้าคุณได้ศึกษาความเป็นมา ประวัติศาสตร์ของชาตินั้น  คุณจะทราบได้เลยว่า เพราะอะไรเขาถึงทำและเป็นแบบนั้น  และถ้าคุณเป็นคนที่เปิดใจรับกับสิ่งใหม่แล้วละก็  มันจะง่ายมากเลยครับในการเข้าใจ  ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ในสังคมทุกชนชั้นในทุกประเทศ

ปัญหาต่าง ๆ ในแต่ละประเทศเกิดขึ้น  ล้วนเกิดเพราะฝีมือของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น  โลกมันก็ยังเป็นโลกใบเดิม  ไม่ได้เปลี่ยนไป  สิ่งที่กำลังเปลี่ยนก็คือ  จิตใจมนุษย์นั่นแหละครับ  ที่ต้องการให้โลกเป็นไปในรูปแบบที่มนุษย์เราต้องการ  เลยเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย  ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติ  น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย  ปัญหาขยะ  และอื่น ๆ อีกมากมาย

หากจะมองปัญหาเหล่านี้   คุณควรมองเป็นองค์รวมที่แต่ละชาติควรที่ตระหนักรู้  และร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ได้  เพื่อลูกหลานที่จะลืมตาดูโลกในอนาคตข้างหน้า  ไม่เกิน 5 ปีจากนี้โลกจะถูกเชื่อมเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  มนุษย์จะมีพฤติกรรมการเลียนแบบอะไรที่คล้าย ๆ กัน   ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี  ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้มาก  มนุษย์ก็ต้องรับมือและปรับตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น  หากสักวันหนึ่งที่คุณต้องจากโลกนี้ไป  คุณจะได้ไม่ต้องขึ้นชื่อว่าตายไปเปล่า ผมขอฝากเป็นข้อคิดนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พลังชีวิต


ชีวิตบางทีมันก็ช่างน่าแปลกนะครับ  เราจะมีความกลัว หรือกังวลกับอะไรบางอย่าง  ที่เข้ามาโดยสัญชาตญานที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  ความกังวลเหล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับช่วงอายุและวัยของคุณเช่นกัน

ในวัยเด็ก  สิ่งที่ผมจะกังวลมากที่สุดก็คือ  เมื่อไหร่จะได้ไปเล่นสนุกกับเพื่อน  ๆ  ไม่ต้องการให้วันนี้มันหมดไปเลย

ในวัยรุ่น  สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของการเรียน  การสอบ คู่รักแบบวัยรุ่น  เรื่องการดูแลตัวเอง

ในวัยทำงาน  สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของงาน หนี้สิน ภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ

จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน  ทุกวัยก็จะมีความกังวลใจทั้งนั้น  คุณเห็นอะไรละครับ  สิ่งที่ผมเห็นนั่นก็คือ  ความไม่แน่นอนยังไงละ  เพราะไม่ว่าจะยังไงคุณก็หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้  เพราะมันคือสิ่งที่บอกว่า  คุณคือมนุษย์และยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บนโลกที่พยายามจะให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง  เราพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่  คนอื่นคิดว่ามันสร้างมูลค่าให้กับตัวเรา  จนบางทีเราก็รู้สึกหมดพลังไปกับการใช้ชีวิตในเรื่องที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อชีวิตของเราด้วยซ้ำ

คุณสังเกตุไหมครับว่า  ทำไมบางทีตัวเองต้องมานั่งทำอะไร กับพฤติกรรมซ้ำ ๆ  ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นสักหน่อย  เราเอาแต่หวังว่าสักวันชีวิตเราจะต้องเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  จนบางทีเราก็มาไกล  ไกลจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกันแน่  ความไม่แน่ใจของเราเริ่มเกิดขึ้นภายในจิตใจ  เรากังวล สับสน กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา  บางทีก็แยกไม่ออกด้วยซ้ำ  ว่าอะไรเป็นอะไร  เราตัดสินผู้คนจากสิ่งที่ได้รับรู้และเห็น  เราตัดสินทุกอย่างโดยไม่ศึกษาหาแก่นแท้ของความเป็นจริง  เนื้อหาสาระที่ผมต้องการจะสื่อนี้  คือผมต้องการอยากให้พวกคุณได้ลองกลับมาทบทวนตัวเองอีกสักครั้ง  ว่า....."เราจะสร้างพลังชีวิต" ให้กับตัวเราเองได้อย่างไร

มีคำกล่าวของคัมภีร์จีนโบราณ ชื่อ เต้าเต๋อจิง (ลัทธิเต๋า) กล่าวไว้ว่า ผู้ใดรู้ว่าตนเองมีพอแล้ว ผู้นั้นคือผู้มั่งมี

คำกล่าวสั้นๆ นี้ แฝงไปด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างมากมาย ผมกลับมานั่งคิดว่า  แล้วตัวเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ  เมื่อก่อนตัวผมเองยอมรับว่า  ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องการวางแผนชีวิต  หรือเรื่องการวางแผนการเงินเลย  ผมใช้เงินแบบไม่มีระเบียบวินัย  สิ่งที่ตามมาก็คือ  มันทำให้ผมกังวลและขาดพลังชีวิตไป   ช่วงนั้นผมรู้สึกเหมือนคนขาดพลัง  คนเราพอขาดพลังเราจะขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งใหม่  หรือลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ  แม้กระทั่งจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้ได้เลย

เรากลายเป็นคนคิดลบ  พอคิดลบมาก ๆ อคติของเรามันก็มากขึ้น  เราเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่น  และทำให้ผู้อื่นมองเราว่าเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก  จุดเปลี่ยนก็คือ  พอเริ่มเป็นแบบนี้ผมก็รู้สึกว่า  มันไม่ค่อยจะโอเครเท่าไหร่  สิ่งที่ผมเริ่มทำก็คือ  การมานั่งอยู่กับความเป็นจริง  ตรวจสอบฐานะทางการเงินของตัวเองใหม่  ยอมรับความจริง  และเริ่มวางแผนชีวิต และวางแผนการเงินใหม่ทั้งหมด  ผมฝึกทำบันทึกรายรับ รายจ่ายทุกบาท  คุณเชื่อไหมว่าพอเราได้เห็นสิ่งเหล่านั้น  เรามองออกทันทีเลยว่า  เราสิ้นเปลื้องไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นเยอะมาก  หลังจากนั้นผมก็ค่อย ๆ ปรับวิธีการใช้เงิน และวางแผนไปทีละนิด  มันทำให้ผมมั่นใจตัวเองมากขึ้น  และคิดก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไรมากขึ้น

เริ่มเข้าใจถึงคำว่าพอเพียงมากยิ่งขึ้น  มันเหมือนเกิดใหม่เลยนะครับ  มันทำให้ผมรู้สึกถึงพลังที่เข้ามาในตัวเองอีกครั้ง  ผมรักตัวเองมากขึ้น  ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนเข้าหาผมมากขึ้น ด้วยความจริงใจ  แท้ที่จริงสิ่งที่ทำให้เราหมดพลัง หรือมีพลังในทางลบ  ก็คือตัวเรานั่นแหละครับ  ผมเลยอยากเตือนสติพวกคุณ  ให้พยายามที่จะดึงพลังงานบวกเข้ามาเยอะๆ  ชีวิตจะเป็นไปตามธาตุภายในของเรา และพลังงานบวกก็จะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  คุณจะพบกับคำว่า โชคดี อยู่เรื่อยไป  คุณจะได้รับโอกาสมากมายจากการเป็นคนคิดบวก

ผมไม่ได้ต้องการให้คุณต้องไปจริงจังอะไรกับชีวิตมาก  เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะอยู่ไปอีกนานไหม  แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณโฟกัส นั่นก็คือ  การเข้าถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์   เพราะสิ่งนี้ที่จะทำให้คุณแตกต่าง  และชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก  โลกนี้ยุติธรรมสำหรับคนที่พยายามจะทำให้มันดีขึ้นแน่นอน

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การบริหารจัดการเวลา


คุณเคยสงสัยแบบผมบ้างไหมครับ  บางทีเราก็ทำตามแบบแผนทุกอย่างแล้ว  แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป  ชีวิตเรากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิมไปมากมาย  ผมลองมานั่งทบทวนนะครับว่า  ชีวิตเรายังมีจุดไหน  ที่เราหละหลวมไปหรือเปล่า  จากนั้นก็เริ่มปฎิบัติวางแผนชีวิตกันทันที

มันอาจฟังดูตลกนะครับ  ชีวิตทำไมต้องวางแผนกันจริงจังขนาดนั้น  นั่นก็เพราะว่า ถ้าหากคุณไม่ระมัดระวังตัวเองให้ดี  สุดท้ายคุณจะตกเป็นทาสของทุกอย่าง  สิ่งที่เราละเลยและให้ความสำคัญน้อยที่สุด  แต่มันมีค่ามากที่สุดก็คือ  "เวลา"  

เวลาคือสิ่งที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้   เพราะฉะนั้น  การวางแผนที่ผมพูดนี้ก็คือเวลา  คุณอาจเเบ่งตามที่คุณถนัดได้เลยครับ  สำหรับผมใช้วิธีการ ดังนี้


1. "เวลา"  ในการทำงานเพื่อหาเงินสร้างอิสรภาพให้กับตัวเอง

2. "เวลา"  ในการอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนบางสิ่งบางอย่าง

3. "เวลา"  ในการพัฒนาตัวเองและพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ

4. "เวลา"  ในการพักผ่อนกับครอบครัว/ออกกำลังกาย

5. "เวลา"  ในการท่องเที่ยวหรือเดินทางเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่

6. "เวลา" ในการสร้างเป้าหมายในอนาคตของตัวเอง

แล้วของพวกคุณละ    สำหรับผมจะแบ่งความสำคัญของเวลาไว้ 6 หมวด  เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการ  ว่าในแต่ละวัน  ผมต้องทำอะไรบ้าง  และจะบริหารจัดการมันอย่างไร  ตราบใดที่เรายังไม่ใช่ระดับ  มหาเศรษฐี  ที่จะมีอิสรภาพทางเวลามากมายขนาดนั้น  เราต้องรู้จักการบริหารเวลาให้ดีกว่าเขา

ผมว่า..ชีวิตคนเราไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะอะไร   คุณก็มีความสามารถในการบริหารจัดการเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว  คนที่อ้างว่าตัวเองไม่มีเวลา  นั่นคือตัวเขานั่นแหละ  ที่ขาดวินัยในการจัดการบริหารเวลาต่างหาก  

ผมอยากให้คุณได้ลองเอาวิธีนี้ไปลองจัดการ  กับทุกอย่างในชีวิตคุณนะครับ  ต่อให้คุณจะมีเรื่องเครียดมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นปัญหา  เรื่องงาน  เรื่องเงิน  เรื่องสุขภาพ  หรือเรื่องครอบครัว  ทุกอย่างคุณจะจัดการมันได้  และลดความกังวลในใจคุณไปมากทีเดียว  ไม่ใช่ว่าคุณเก่งขึ้น  แต่เพราะคุณรู้จักบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้แล้วต่างหาก  

คนหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้า  เครียด  ผิดหวังกับชีวิต  และฆ่าตัวตาย  นั่นก็เพราะการใช้ชีวิตที่ตึงจนเกินไป  มองไม่ออกว่า  อะไรคือความพอดีที่แท้จริง  เราอยู่กับความคาดหวังมากจนบางที  เราก็กลัวไปกับการตัดสินใจที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ  ได้  ผมอยากให้คุณลองหลับตานึกถึงอะไรบางอย่าง  บางอย่าง...ที่มันกำลังซ่อนอยู่ภายในใจคุณ  ฟังดูสับสนนะครับ  ค่อยๆ เอาไปทำเป็นการบ้านนะครับ  แล้วชีวิตคุณจะพบแต่เรื่องมหัศจรรย์แบบที่คุณจะพูดว่า  "มันอยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริง"

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความหวัง


ความหวังกับความคาดหวัง  บางทีสองสิ่งนี้เราแทบจะแยกมันไม่ออกเลยครับ  ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่กำลังทำให้จิตใจเราสับสน และวุ่นวายอยู่

ความหวัง  ในคำนิยามของผมมันเหมือนตัวแปรหนึ่ง  ที่กำลังขับเคลื่อนให้เป็นไปตามที่เราหวัง  โดยที่เราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้

ความคาดหวัง ในคำนิยามของผมมันคือตัวแปรที่เราคือผู้สร้าง สถานการณ์ขึ้นมา  และในขณะเดียวกัน  เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกว่า มันจะเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ 50/50

มนุษย์เราอยู่บนโลกของความเป็นจริง  บางทีเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ฟังดูไร้สาระ  ที่จะเอามานั่งถกเถียงกัน  แต่ถ้าเราแยกไม่ออกจริงๆ  นั่นเท่ากับเป็นการหลอกตัวเราเอง  การหลอกตัวเองก็ไม่ต่างจากการหวังลมๆ แล้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า  มันจะเป็นจริงเมื่อไหร่  ไม่สามารถจะคาดเดาทิศทางของชีวิตตัวเองได้

การใช้ชีวิตแบบไร้แบบแผน  ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากนะครับ  โดยเฉพาะกับคนโสดไม่มีครอบครัว  คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้เป็นที่สุด  มันอาจจริงนะครับว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  แต่บนความไม่แน่นอน ยังมีเรื่องให้เราต้องต่อสู้ ดิ้นร้นไปกับชีวิตอีกนาน

คนบางคนกว่าจะเจอตัวเอง  ก็แก่เกินกว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้  ก็ได้แค่เสียดายและมานั่งทบทวนกับสิ่งที่เหลืออยู่ แล้วจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้น  บางทีการยึดติดกับอะไรมากเกินไป  ไม่ว่าจะเป็น ความคิด วัตถุ สิ่งของ  สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้จิตใจคุณว้าวุ้น  เหมือนกำลังติดอยู่กับอะไรบางอย่าง  จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้  จะถอยหลังก็มาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ

วิธีแก้สำหรับปัญหานี้คือ  คุณต้องเขียนและเริ่มจดรายละเอียด  ทุกอย่างในชีวิตของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นรายรับ-รายจ่าย  กิจกรรมต่างๆ ที่ทำหรือแม้กระทั่งความสนใจ กับเรื่องทีผ่านเข้ามาในชีวิต  แล้วกลับมาทบทวนจัดประเภทใหม่  คุณจะมองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น  พอมันชัดขึ้นคุณก็จะได้กำหนดทิศทาง  ว่าคุณจะเอายังไงต่อกับชีวิตที่เหลือของคุณ

มันอาจไม่มีสูตรที่ตายตัว  เหมือนกับหนังสือหลายๆเล่มที่ท่านเคยได้อ่านมาหรอกครับ  นั่นมันก็แค่แนวทาง  เอาเข้าจริงชีวิตอย่างที่ทุกท่านทราบ  มันยังมีปัจจัยต่างๆ  ที่จะเข้ามาผกผันให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  อย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในท้ายที่สุดการใช้ชีวิตในแบบธรรมดา  ที่เรียบง่ายนั่นแหละคือทางที่ดีที่สุด  เพราะความเรียบง่ายคือเส้นทางแห่งธรรมนั่นเอง  

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ใช้ความว่างให้เป็นประโยชน์


ผมมั่นใจครับวาชีวิตคุณ  คงต้องมีสักครั้งแหระครับ  ที่รู้สึกว่าตัวเองเกิดความรู้สึกว่าง  ต่างจากเมื่อก่อนมีเคยปล่อยให้ชีวิตวุ่นวาย  และดูยุ่งไปหมดซะทุกอย่าง 

จน....เราติดนิสัยความเคยชินว่า  ชีวิตต้องขับเคลื่อนด้วยการทำงานอยู่ตลอดเวลา.....

จริงหรือครับ....แล้วถ้าหากว่างานนั้น  ไม่ได้ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์  เป็นแค่งานที่ทำซ้ำเเบบเดิมไปวัน ๆ  แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดทักษะอะไรใหม่ๆให้กับชีวิตเราเลย 

จะว่าไปนะคนเราบางทีก็ฝึกตัวเองให้อยู่นิ่งๆ  แบบไม่ต้องทำอะไรบ้างก็ดีนะ  ในมุมของผมไม่ใช่การขี้เกียจ  แต่มันคือการอยู่กับตัวเอง  เพราะการปล่อยให้ตัวเอง  ยุ่งจนเกินไป  คนบางคนหลงคิดไปว่า งานที่ตัวเองทำนี่แหละมั่นคง  มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง  บางทีผมก็ตลกนะครับ  กับความคิดเหล่านี้  เอาเถอะถ้าสบายใจก็คิดกันต่อไป 

โลกนี้นับวันก็จะเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระมากขึ้นทุกวัน  แต่ที่มันแปลกก็คือ  เรื่องไร้สาระ กลับสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น  ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการมีตัวตน  และมีพื้นที่ส่วนตัว  ในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ  พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคสร้างความฉงน  เป็นอย่างมากต่อนักวิเคราะห์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ

พอคุณลองอยู่นิ่งๆ ว่างๆ  คุณจะพบอะไรบางอย่างจริงๆ  สมองในช่วงแรก  คุณจะมีความกังวลกับอะไรบางอย่าง  เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมันขาดหายไป  แต่สักพักคุณจะเริ่มชินและค่อยๆปรับตัวกับมัน  สมองคุณจะเกิดแนวคิดใหม่ๆ  ในเรื่องต่างๆมากขึ้น

จากที่ปกติคุณอาจจะวุ่นวายอยู่กับเรื่องเดียวทั้งวัน  ก็มีไอเดีย หรือแนวคิด ช่องทางใหม่ ๆ  ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่  พอเราได้อยู่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น  เราเริ่มลดความอยากไปมากขึ้น  และมองย้อนกลับไปในมุมที่มันซับซ้อน  กลับเห็นว่า  ทำไมต้องทำให้ชีวิตมันยุ่งยากด้วย  ทั้งที่จริงมันมีวิธีที่ง่ายและดีกว่า

บางทีคนเราก็ติดกับดักของการคิดเป็นระบบ  มากจนเกินไป  ความคิดนอกกรอบจึงไม่เกิด  ลองออกจากกรอบ แล้วใช้ชีวิตตามแบบที่คุณต้องการจะเป็น  ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น  คุณอาจพบกับเส้นทางใหม่  และการใช้ประโยชน์ของความว่างได้ 

สำหรับบางคนอาจมองชีวิตว่าง  คือการทำตัวแบบไร้สาระไปวันๆ  หาแก่นสารความมั่นคงไม่ได้  คุณจะไปกังวลทำไมครับ  ในเมื่อทุกวันนี้  อะไรคือความมั่นคงที่แท้จริงเรายังไม่รู้กันเลย  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตยืนยาวไปนานแค่ไหน  เราทำตัวห่างไกลจากศาสนามากขึ้น  เราไปเคารพบูชาเงินแทน  คนมีเงินคือมีอำนาจ  และมีทุกอย่างในโลกปัจจุบัน 

อย่าให้สิ่งไม่ดีต้องมาบั่นทอนจิตใจคุณ  มันจะทำให้คุณเสียศูนย์ได้  บนพื้นฐานอะไรบนโลกใบนี้  เราต้องไม่ไปทำเหมือนคนอื่นที่ทำตามๆ กันมา  เราควรมีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจน  ถ้าคุณเข้าใจจุดยืนที่ชัดเจน  ต่อให้มีอะไรมากระทบกับคุณ  คุณก็จะไม่เปลี่ยนใจต่อหลักการของคุณแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตัดขาดพลังแห่งความคิดลบ


พลังแห่งความคิดนี่แหละครับ  ที่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สามารถเป็นไปได้  โลกอนุญาตให้เราสามารถเป็นอะไรก็ได้  ตามแต่ที่ใจของเราปรารถนา  ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นว่า  คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้  มันก็จะเป็นไปตามนั้น

การตั้งคำถามที่ดีก็จะนำมาซึ่งคำตอบที่ดีเช่นกัน  โลกเราทุกวันอยู่อยู่ยากขึ้น  เพราะคนเรามัวแต่ไปตั้งคำถามในทางลบ  


  • คนคิดลบจะไม่สามารถมองหาสิ่งดีๆได้  ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะดีก็ตาม

  • คนคิดลบจะมองทุกอย่างคือปัญหายกเว้นตัวเอง

  • คนคิดลบลึก ๆ แล้วเขากำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง  ที่ภายในใจเขา และตัวเขาเองก็ทำมันไม่ได้

  • คนคิดลบมักสร้างปัญหาให้สังคมแตกแยกและขัดแย้งกันได้


เห็นไหมละครับว่าโทษของการคิดลบ  มันมากมายแค่ไหน  แล้วทำไมเราต้องมานั่งเสียเวลากับการคิดลบละครับ  เราต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร  ถ้าเราคิดบวกผลลัพธ์มันก็จะออกมาในเเง่บวกอย่างแน่นอน


อะไรที่เราป้อนให้กับสมองตัวเองมากๆ  ในท้ายที่สุด มันก็จะสะท้อนออกมาเอง  อย่าเอาแต่โทษและมองปัญหาเล็กๆ น้อย ๆ เพื่อมาหาเรื่องหรือโทษกันดีกว่า  ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า  เราต้องก้าวไปด้วยกัน  นึกถึงช่วงเวลาที่ลำบาก  ตอนที่ประเทศชาติประสบปัญหาต่างๆ

เรายังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  และผ่านมันไปได้ด้วยดี  ใช่อยู่ครับว่า เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าชีวิตเราจะเจอคนแบบไหน  แต่เราก็สามารถที่จะเลือกคบ  เลือกปฎิบัติกับคนเหล่านั้นได้  ส่วนตัวผมเชื่อว่า  เราให้ในสิ่งที่ดี  เราก็ย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีกลับมา  มันเป็นกฎการสะท้อน

การใช้ชีวิตที่ตึงเกินไป ยึดมั่น ถือมั่น มากจนเกินไปโดยไม่ยอมปล่อย  ในที่สุด ชีวิตคุณก็จะพบกับความเครียด และโรคซึมเศร้า  และก็เป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา  มนุษย์เรามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา  เราต้องยอมรับความเป็นจริงและเข้าใจถึงความแตกต่างนั้น

เป็นในแบบของเรา  และประมาณตนเองในแบบที่เรามี  อย่าใช้ชีวิตเกินพอดี  เรียนรู้การใช้ชีวิตให้เรียบง่าย เข้าถึงหลักความจริงของชีวิต  มนุษย์เรานะครับ ถ้าเราเข้าใจจุดสูงสุดของตัวเอง  เราก็สามารถเข้าใจผู้อื่น และไม่คิดจะเอาเปรียบใคร  หรือมองชีวิตในแง่ลบไปทุกอย่าง  เข้าใจนะครับว่า  สังคมปัจจุบันถูกบีบบังคับ  ให้ผู้คนต้องเลือกอะไรบางอย่าง  ในแบบที่ตัวเราเองก็ไม่ได้ต้องการ  แต่เราก็เลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข  กับสถานการณ์ตรงหน้า

เราจะช่วยกันดึงดูดแต่พลังงานดีๆ  เข้ามาสู่ประเทศไทยของเรานะครับ  เพราะถ้าคนในชาติเราดี  ต่อให้การเมืองหรืออะไรจะไม่ดีไปบ้าง  แต่ก็สามารถจะดึงดูดผู้คน จากทุกมุมโลกให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยของเรา  อารยธรรมไทยของเราจะได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ต่างชาติก็จะให้การยอมรับเรามากขึ้นในฐานะ "คนไทย"  บุคคลที่ยากจะหาที่ไหนเหมือน

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

THAI LAND STYLE


ช่วงนี้ประเทศไทยมีกระแสดราม่าเยอะมาก  โดยเฉพาะเรื่องเพลง "ประเทศกูมี"  สำหรับเนื้อหาเพลงนี้สามารถลองไปหาชมดูได้ครับ เนื้อหาในเพลงนี้   มีคนที่มีความเห็นใน 2 แง่มุม

1.คนที่เห็นด้วย  

2.คนที่ไม่เห็นด้วย

ในมุมของผมไม่ว่าผู้คนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย  ทุกสิ่งมันก็ไม่ผิดเพราะเราอยู่ในระบบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น  เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่า เราจะพูดในด้านไหนของสิ่งที่เรามีอยู่  ถ้าถามผมว่าประเทศนี้มีดีอะไรเหรอ

เอาเป็นว่า...ในประเทศอาเซียนนี้เราอาจไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุด  แต่ผมมั่นใจว่าประเทศไทยของเรา  เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่าระบบการเมืองเราอาจจะไม่นิ่งบ้าง  แต่ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  ผมมั่นใจว่า "ประชาชนยังได้รับผลประโยชน์" ในเรื่องต่างๆ มากกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน

ที่ผมหยิบยกประเด็นไม่ได้ต้องการจะเปรียบเทียบว่า ใครดีกว่าใครหรอกนะครับ  ในรูปแบบสังคมยุคปัจจุบันหากจะมองหาความสมบูรณ์แบบในนั้น  ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก  เราควรหาจุดที่ลงตัว  และเป็นจุดเด่นที่เรามีดีกว่าครับ

ถ้าคุณได้ลองอ่านจากคอมเมนท์ของเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรา  จะเห็นว่า...

- ทุกคนมองคนไทยมีความขัดแย้งกัน

- การศึกษาของไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้

- การทำงานมีความอดทนต่ำกว่าประเทศอื่น

- คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่นแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ

นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ผมเห็นบ่อยๆ  จากคอมเมนท์ต่างชาติและคนไทยด้วยกัน  สิ่งที่น่าเศร้าน่าจะเป็นคนไทยด้วยกัน  ที่ดูถูกกันเองมากกว่า  ในฐานะคนไทยผมก็ขอเป็นกระบอกเสียงให้ประเทศของผมนะครับ

ผมก็ยอมรับนะครับว่า  บางเรื่องก็มีส่วนที่จริงอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ทั้งหมดเป็นต้นว่า ...

-คนไทยมีความขัดแย้งกัน  สิ่งนี้ผมเรียนตามตรงว่ามันแค่เรื่องการเมืองครับ  แต่เรื่องอื่นเรายังรักและปรองดองกันปกติ  คนไทยยังมีน้ำใจต่อกันมาก

- การศึกษาของไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้  เป็นต้นว่า เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย   ถ้าหากวัดคุณภาพในด้านนี้  เราอาจด้อยกว่าจริง  แต่ข้อดีของคนไทยที่เหนือกว่าชาติอื่น คือ  ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้คน สังคม และสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดีกับทุกชนชาติ  โดยไม่เลือกปฎิบัติ  ไม่ว่าจะยังไงทุกชาติต่างก็มีเพรชเม็ดงามที่ซ่อนอยู่แล้วครับ

การทำงานมีความอดทนต่ำกว่าประเทศอื่น  คนไทยเป็นชาติที่มีความเป็น ARTIST  ค่อนข้างสูง  มักจะไม่ชอบอะไรที่กดดันมาก  แต่ถ้าอะไรที่เขารักและชอบ และให้ใจกับมันไปแล้ว  ผมมั่นใจเลยว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่นแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ  เป็นความคิดเห็นเฉพาะบุคคลมากกว่า  ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ  หรือไม่ชอบการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ  อย่างที่ผมบอกครับนิสัยคนไทย  ถ้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขา  และเขามองว่าไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเขาได้  ก็ยากที่จะให้เขาไปเรียนรู้  ซึ่งอาจจะกลับกันกับต่างชาติที่เรียนรู้ไปก่อน  ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ค่อยว่ากันอีกที

นี่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ที่บางทีหลายคนมองข้าม  หรือไม่เข้าใจคนไทย  ด้วยความที่เราไม่ใช่ชาตินิยมอะไรขนาดนั้น  คนไทยเป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลายมาหลายร้อยปีแล้ว  ก่อนที่จะมีประชาธิปไตยด้วยซ้ำ  ยังไงก็ได้โปรดเข้าใจและเคารพในความเป็นไทยของเราครับ

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...