วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

THAI LAND STYLE


ช่วงนี้ประเทศไทยมีกระแสดราม่าเยอะมาก  โดยเฉพาะเรื่องเพลง "ประเทศกูมี"  สำหรับเนื้อหาเพลงนี้สามารถลองไปหาชมดูได้ครับ เนื้อหาในเพลงนี้   มีคนที่มีความเห็นใน 2 แง่มุม

1.คนที่เห็นด้วย  

2.คนที่ไม่เห็นด้วย

ในมุมของผมไม่ว่าผู้คนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย  ทุกสิ่งมันก็ไม่ผิดเพราะเราอยู่ในระบบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น  เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่า เราจะพูดในด้านไหนของสิ่งที่เรามีอยู่  ถ้าถามผมว่าประเทศนี้มีดีอะไรเหรอ

เอาเป็นว่า...ในประเทศอาเซียนนี้เราอาจไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุด  แต่ผมมั่นใจว่าประเทศไทยของเรา  เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่าระบบการเมืองเราอาจจะไม่นิ่งบ้าง  แต่ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  ผมมั่นใจว่า "ประชาชนยังได้รับผลประโยชน์" ในเรื่องต่างๆ มากกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน

ที่ผมหยิบยกประเด็นไม่ได้ต้องการจะเปรียบเทียบว่า ใครดีกว่าใครหรอกนะครับ  ในรูปแบบสังคมยุคปัจจุบันหากจะมองหาความสมบูรณ์แบบในนั้น  ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก  เราควรหาจุดที่ลงตัว  และเป็นจุดเด่นที่เรามีดีกว่าครับ

ถ้าคุณได้ลองอ่านจากคอมเมนท์ของเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรา  จะเห็นว่า...

- ทุกคนมองคนไทยมีความขัดแย้งกัน

- การศึกษาของไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้

- การทำงานมีความอดทนต่ำกว่าประเทศอื่น

- คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่นแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ

นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ผมเห็นบ่อยๆ  จากคอมเมนท์ต่างชาติและคนไทยด้วยกัน  สิ่งที่น่าเศร้าน่าจะเป็นคนไทยด้วยกัน  ที่ดูถูกกันเองมากกว่า  ในฐานะคนไทยผมก็ขอเป็นกระบอกเสียงให้ประเทศของผมนะครับ

ผมก็ยอมรับนะครับว่า  บางเรื่องก็มีส่วนที่จริงอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ทั้งหมดเป็นต้นว่า ...

-คนไทยมีความขัดแย้งกัน  สิ่งนี้ผมเรียนตามตรงว่ามันแค่เรื่องการเมืองครับ  แต่เรื่องอื่นเรายังรักและปรองดองกันปกติ  คนไทยยังมีน้ำใจต่อกันมาก

- การศึกษาของไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้  เป็นต้นว่า เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย   ถ้าหากวัดคุณภาพในด้านนี้  เราอาจด้อยกว่าจริง  แต่ข้อดีของคนไทยที่เหนือกว่าชาติอื่น คือ  ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้คน สังคม และสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดีกับทุกชนชาติ  โดยไม่เลือกปฎิบัติ  ไม่ว่าจะยังไงทุกชาติต่างก็มีเพรชเม็ดงามที่ซ่อนอยู่แล้วครับ

การทำงานมีความอดทนต่ำกว่าประเทศอื่น  คนไทยเป็นชาติที่มีความเป็น ARTIST  ค่อนข้างสูง  มักจะไม่ชอบอะไรที่กดดันมาก  แต่ถ้าอะไรที่เขารักและชอบ และให้ใจกับมันไปแล้ว  ผมมั่นใจเลยว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่นแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ  เป็นความคิดเห็นเฉพาะบุคคลมากกว่า  ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ  หรือไม่ชอบการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ  อย่างที่ผมบอกครับนิสัยคนไทย  ถ้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขา  และเขามองว่าไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเขาได้  ก็ยากที่จะให้เขาไปเรียนรู้  ซึ่งอาจจะกลับกันกับต่างชาติที่เรียนรู้ไปก่อน  ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ค่อยว่ากันอีกที

นี่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ที่บางทีหลายคนมองข้าม  หรือไม่เข้าใจคนไทย  ด้วยความที่เราไม่ใช่ชาตินิยมอะไรขนาดนั้น  คนไทยเป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลายมาหลายร้อยปีแล้ว  ก่อนที่จะมีประชาธิปไตยด้วยซ้ำ  ยังไงก็ได้โปรดเข้าใจและเคารพในความเป็นไทยของเราครับ

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปัญญาในทางธรรม


มีความจริงและความเข้าใจในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปมาก

เราวัดความเจริญกันในทางวัตถุมากขึ้น เป็นต้นว่า

-ประเทศไหนมีตึกสูงกว่ากัน มีการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วมากกว่ากัน

-ประเทศไหนมีระบบการศึกษาดีกว่ากัน

-ประเทศไหนมีคนฉลาดมากกว่ากัน

ทรัพยกรมนุษย์ที่เราให้ความสนใจกันในแบบฉบับของสังคมแบบทุนนิยมนั้น  มันอาจใช่ครับว่ามันส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ  แต่..จะมีประโยชน์อะไรถ้า...

-คนในชาติไม่มีความสามัคคีกัน

-คนในชาติทุจริตและมีการคอรัปชั่น

-คนในชาติแล้งน้ำใจ  ไม่เอื้อเฟื้อ แบ่งปันซึ่งกันและกัน  สังคมเต็มไปด้วยการแข็งขัน

แล้วแบบนี้ต่อให้ประเทศจะเจริญไปถึงขีดสูงสุด  แต่กลับกลายเป็นว่า มันล้มเหลวในเรื่องคุณภาพจิตใจของบุคคล  ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์  สิ่งที่สำคัญมากไปกว่าการพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชน และประเทศชาติ นั่นก็คือ การยกระดับจิตใจของตัวคุณให้สูงขึ้น  ทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม และการเข้าถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างสูงสุด

หากมนุษย์เราขาดซึ่งคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้  ก็ยากที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีได้ ผมมาสังเกตนะครับว่า  ประเทศทางฝั่งยุโรป  แทบจะไม่มีการสร้างตึกสูงอะไรมากมายเท่ากับในอเมริกา  แต่ประเทศก็เจริญเป็นอย่างดี  และก็ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก  ให้เข้าไปท่องเที่ยวได้  นั่นเพราะความหลงไหลในเสน่ห์  ของสถาปัตยกรรมเก่าแก่  ของยุโรปที่มีมาอย่างยาวนาน 

แท้ที่จริงถ้ามองกันในเเง่ความเจริญ  โดยใช้ตึกสูงสวยงามเป็นตัววัด  นั่นมันก็แค่ บ่งบอกถึงความเจริญในทางวัตถุแต่ไม่ได้สะท้อนความเป็นชาติหรือวัฒนธรรม  เรื่องนี้ผมอยากให้ประเทศไทยหันกลับมา
ทบทวน ก่อนจะตัดสินใจสร้างอะไรนะครับ  ประเทศเรามีวัฒนธรรมที่หลากหลาย  คุณควรสร้างและต่อ
ยอดจากศิลปะและชิ้นงานเหล่านั้น

สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่ามูลค่า  เพราะในระยะยาวสถาปัตยกรรมที่เน้นเรื่องการสร้างคุณค่า  จะมีมูลค่าที่สูงกว่า  และถือเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้  ไม่ใช่ตึกที่รอวันทุบทิ้งในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น  เรากำลังคิดอะไรกันอยู่  ให้หันมาทบทวนตัวเราเองให้ดี  กลับมาอยู่ที่ตัวเราเอง  อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของตัวเรากันแน่ 

ได้โปรดหยุดฟังเสียงตัวเอง  หยุดวิ่งตามคนอื่นสักพัก  บนโลกที่นับวันจิตใจผู้คนซับซ้อนยิ่งขึ้น  ยากที่จะเดาความหมายที่แท้จริงของเขาได้  เราต้องฝึกการชั่งใจตัวเอง  อ่านทุกอย่างให้ทะลุปรุโปร่ง  การฝึกสมาธิเข้าถึงจิตวิญญานสูงสุดของเรานั่นแหละ  ที่จะสามารถหยั่งใจผู้อื่นได้  ปัญญาขั้นสูงนี้ต่างหากที่เราควรพัฒนาให้สูงสุด  ปัญญาทางโลกเรียนเท่าไหร่ก็ไม่มีสิ้นสุด  เพราะความรู้มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ  แทบจะหาจุดที่สิ้นสุดไม่ได้ 

ผมขอฝากทุกท่าน ไว้เป็นข้อคิดเตือนใจตัวเองนะครับ  อย่าได้ไปหวังจะรวยทางลัด  คนมีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้  อย่าได้ไปกังวลตรงนั้นให้มาก  จงเป็นคนที่ฉลาดทั้งทางโลก และทางธรรม  หาจุดที่สมดุลกับชีวิต อย่าให้มันสุดโต่งจนเกินไป  เพียงเท่านี้คุณก็เข้าถึงซึ่งความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิต  มันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปทั้งหมด  แต่ผมมั่นใจได้ว่า คุณจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของคุณในครั้งนี้เลย

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วิถีแห่งโลกใหม่


โลกเราปัจจุบันเราถูกเชื่อมต่อด้วยอินเตอร์เน็ต  ทุกอย่างบนโลกใบนี้รวดเร็วมากเพียงแค่คลิ๊กนิ้ว  จะว่าไปแล้วมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย  ในทางข้อดีมันก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรหรอกครับ  แต่ในทางลบนี้ซิ  มันเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสงซะอีก

กลับกลายเป็นว่าเกิดสังคมแบบใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือ  สังคมแห่งการเปรียบเทียบ การเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ จากคนดังในโลกอินเตอร์เน็ต  และเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย

ปัญหานี้ลุกลามเป็นวงกว้างจากระดับประเทศ  ไปจนถึงระดับภูมิภาคและนาๆชาติ  มีการเปรียบเทียบในเรื่องต่างๆ ระหว่างกัน เช่น ความเจริญก้าวหน้า  การเมือง เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่และสภาพสังคม

แต่ละประเทศล้วนมีความแตกต่างกัน  มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี หล่อหลอมขึ้นมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคม ของประเทศนั้นๆ  เราไม่สามารถเอาประเทศหนึ่ง ไปเปรียบเทียบกับอีกประเทศหนึ่งได้  ความแตกต่างนั่นแหละ คือเสน่ห์ของประเทศนั้น

คุณสามารถเลียบเเบบเขาได้  แต่ก็ไม่สามารถเขาถึงแก่นแท้ของเขาได้  เพราะบางอย่างมันฝังรากลึกอยู่กับเขามาหลายชั่วอายุคน  การ COPY วัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก  ผมสนใจศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ  ส่วนตัวผม มีความรู้สึกชอบเกี่ยวกับศาสตร์ของวัฒนธรรมตะวันออกมาก  วัฒนธรรมตะวันออกเก่าแก่ และมีีเรื่องราวที่สะท้อนออกมา  ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คน ที่ส่งทอดกันมารุ่นต่อรุ่น  ยิ่งศึกษาลึกลงไป ยิ่งเข้าใจถึงแก่นแท้ของสิ่งนั้นๆ  (และก็เริ่มหลงรักมันไปเลยครับ 555)

สังคมตะวันออก มีความแตกต่างจากสังคมตะวันตกอย่างมาก  โดยเฉพาะในเรื่องของการมองความมั่นคงในอนาคต สังคมตะวันตกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเงินตรา  กับสังคมตะวันออกกับวิถีชีวิตที่ฝึกให้เราอยู่กับปัจจุบัน  โดยไม่ต้องไปกังวลกับอนาคต  ถึงแม้จะต่างกันสุดขั้วแต่โลกต่างก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน

เราปฎิเสธไม่ได้ครับว่าระบบสังคมแบบทุนนิยม  กำลังคืบคลานเข้ามาในสังคมตะวันออกทีละนิด  จนกลายเป็นเริ่มจะมาฝังรากในแผ่นดินนี้ไปซะแล้ว  บางทีนะ ผมตื่นมาก็ยังสับสนเลยว่าอ้าว  ตกลงชีวิตจะเอายังไงต่อดี  ความขัดแย้งในใจที่บางทีมันเกิดขึ้น  ความรู้สึกสับสนว่าทางที่เราจะไปคือทางไหนกันแน่  อะไรกันแน่นะ ที่มันคือจุดที่จะพอดีสำหรับเรา

มนุษย์เรายุคนี้รู้สึกตัวเองขาดที่พึ่งทางใจ  เราพยายามวิ่งหาอะไรบางอย่าง เพื่อเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา  ยิ่งค้นหากลับยิ่งพบกับความว่างเปล่า  ชีวิตกลับหาแก่นแท้ไม่เจอ  แล้วสุดท้ายก็จะมานั่งท้อใจกับชีวิต  เรื่องแบบนี้คุณไม่ต้องตกใจครับ  เพราะเป็นกันเยอะในสังคมปัจจุบัน  ทางแก้ก็คือคุณต้องกลับมาดูที่ใจตัวเองครับ  วิธีที่ง่ายที่สุดคือ  การฝึกนั่งสมาธิดูสภาวะจิตใจของเรานั่นแหละ  มนุษย์เราเวลาคุณไม่ฝึกจิต  จิตมันจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ  พอจิตคุณไหลลงสู่ที่ต่ำ

สิ่งที่ตามมาก็คือ  คุณจะพบว่าดวงคุณไม่ค่อยดี  ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด  นั่นเพราะภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคง  ก็จะดึงสิ่งต่าง ๆ ให้เราผิดพลาดได้ง่าย  เพราะฉะนั้น  คุณต้องฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะปกติให้ได้  ไม่ว่าคุณจะเจอกับอะไรก็ตาม  เพราะในท้ายที่สุดไม่มีอะไรแน่นอน  สิ่งที่จะผ่านไปได้ก็คือจิตใจที่มั่นคงเท่านั้น  ที่จะทำให้คุณพบกับความสำเร็จต่างๆ ในชีวิต

ใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันคุณ  เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ตลอดไป  แรงผลักดันจะให้คุณก้าวไปข้างหน้า  โดยไม่ทิ้งคนข้างหลัง  เริ่มทำเลยครับ  จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน แล้วค่อยขยายไปทำสิ่งที่ใหญ่กว่า แล้วคุณจะพบว่า  ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้จริงๆ ทันตาเห็นแบบไม่ต้องพึ่งดวง

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ไทยแลนด์ Only



การคบคนเราสามารถเลือกที่จะคบได้และยังสามารถกำหนดได้ว่า  คุณต้องการให้คนแบบไหนเข้ามาในชีวิตของคุณ  บางทีมนุษย์เรานั้นแหละไปทำอะไรบางอย่างกับชีวิต  เลยดึงคนในแบบที่ตัวเองไม่ต้องการให้เข้ามาหาคุณ  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรครับ  เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมต้องพบเจอกับคนทุกรูปแบบอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา

สังคมไทยตอนนี้เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่สังคมออนไลน์อย่างเต็มตัว  จะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของธุรกิจประเภทโทรคมนาคม  จะเห็นได้จากค่าเฉลี่ยในการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตที่สูงมาก คิดเฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง/วัน/ต่อคน  จำนวนสินค้าและบริการออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก  แต่ที่ผมอยากจะยกประเด็น ไทยแลนด์ Only  มาอธิบายชี้แจ้ง

เนื่องมาจากว่าผมได้ติดตามเรื่องกระทู้คอมเมนต์ต่างๆ  ในโลกอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับประเทศไทย  ในสายตาของคนต่างชาติ  และในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน  จะมีทั้งคอมเมนท์ในเรื่องที่ดีบ้าง และไม่ดีบ้าง  หลายคนยังรู้จักคนไทยได้ไม่ดีพอ เรียกว่าคุณรู้จักในมุมที่เขาแสดงให้คุณเห็นนั่นแหละครับ



วันนี้ผมเลยขอมาสรุปสัก 3 หัวข้อใหญ่ ๆ  ให้คุณได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น (ในฐานะคนไทย)

ด้านเศรษฐกิจ

1. ถ้าดูจากตัวเลขจริงๆ  คนไทยมีเงินฝากในบัญชีน้อยมาก  คนที่มีบัญชีเกิน 1 บาทคิดเป็นแค่ 1 % ของประชากร  แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือ  คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ได้ถือครองทรัพย์สินในรูปของเงินสดซิครับ  แต่เขาจะไปถือครองในรูปของทรัพย์อื่น ได้แก่  ที่ดิน ทองคำ หุ้น และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ  ที่บอกว่าคนไทยยากจน ผมขอค้านเลยนะครับ  ประเทศไทยมีคนรวยไม่น้อย  เพียงแต่เขาเหล่านั้นอาจทำธุรกิจที่มันอาจเป็น (สีเทา) ไปซะมากกว่า

2.ความเหลี่ยมล้ำในสังคม  มีอยู่จริงครับ โดยเฉพาะคนรวยกับคนจน ในสังคมไทยคนรวยมักจะได้รับการปฎิบัติที่ดีกว่าเสมอ  แต่ในขณะเดียวกันคนจนก็ไม่ได้ถึงกับใช้ชีวิตลำบาก  ส่วนน้อยมากที่จะไม่มีที่อยู่อาศัยหรือนอนตามถนน หรือข้างทาง

3.การเมืองไทยไม่นิ่งก็จริง  แต่ระบบเศรษฐกิจของไทยเรายังขับเคลื่อนได้นะครับ  เพราะรัฐไม่ได้เป็นคนที่กำหนดบทบาททางเศรษฐกิจที่แท้จริง  ภาคเอกชนต่างหากคือคนที่กำหนด  และนอกจากนั้นตัวเลขทางเศรษฐในสายตาต่างชาติ หรือคนทั่วโลกเห็นนั้น  มันแค่ตัวเลขที่ถูกต้องในทางทฤษฎีเท่านั้น  ยังมีระบบเงินที่หมุนเวียนอยู่นอกระบบเศรษฐกิจอีกเป็นจำนวนมาก  ที่ไม่ได้เอามารวมกับ GDP ของประเทศ


ด้านทัศนคติ

1คนอัธยาศัยดี  ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนมักจะเจอคนไทยยิ้ม  และนิสัยคนไทยจริงๆ เป็นคนที่ชอบแบ่งปันเป็นอย่างมาก  ถึงแม้ภายนอกหรือสื่อบางสื่อจะนำเสนอในอีกมุมก็ตาม

2.ขี้เกรงใจ  สังคมไทยเราถูกสอนให้ผู้น้อยต้องมีความเคารพนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ และผู้มีพระคุณต่อเรา  เลยทำให้คนไทยติดนิสัยขี้เกรงใจ บางทีก็ไม่พูดอะไรออกมาอย่างตรงไปตรงมาทั้งที่ในใจก็แอบคิด

3.มีความรักชาติ  คนไทยดูภายนอกไม่ค่อยแสดงในเรื่องการรักชาติมากเท่าไหร่นะครับ  แต่แท้ที่จริงพวกเรามีความรักชาตินะ  และนิสัยคนไทยค่อยข้างจะเป็นคนที่มีความคิดที่หลากหลาย มีอิสระทางความคิดเเละเป็นตัวของตัวเองสูง

4.ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ  ข้อนี้สำคัญมาก การที่คุณอยากเป็นเพื่อนกับคนไทย  สิ่งเเรกเลยคือคุณต้องไม่คิดจะเอาเปรียบเขาเด็ดขาด  เพราะถ้าเรารู้ว่ากำลังถูกเอาเปรียบ นั่นคือคุณจะเสียความเป็นเพื่อนทันที  และในขณะเดียวกันคนไทยก็จะไม่ชอบไปเอาเปรียบใครก่อน

5.การเลือกคบเพื่อน  เขาจะเลือกคบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเป็นอันดับแรก  คุณจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณได้สนิทกับคนไทยคนไหนแล้ว  รู้สึกว่าเขาใจถึง  แสดงว่าคุณได้ใจเขาไปเต็มๆ แล้วครับ

6.ไม่ค่อยซับซ้อน  เวลาคุณมีเพื่อนคนไทย  ควรพูดกับเขาแบบจริงใจไปเลยครับ  ใช้ความจริงใจเข้าหาเขาไปเลยครับ

7.คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ  สนิทกันแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหน กิน เที่ยว พักผ่อน  มีเรื่องเดือดร้อนใจ คุณจะเห็นในน้ำใจของพวกเรา  ยิ่งในช่วงเวลาที่คุณคับขันแบบที่คุณหาที่ไหนในโลกไม่ได้เลย


ด้านอื่น ๆ (ในมุมของผู้เขียน)

1.คนไทยเวลาไปอยู่ที่ไหน บนโลกใบนี้สุดท้ายก็จะคิดถึงประเทศไทย  ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้วเหมือนในหลาย ๆประเทศ  แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเรามีคือ  ความรู้สึกถึงความมีอิสระในเรื่องต่างๆ  คนไทยเป็นคนง่าย ๆ ไม่ชอบอะไรที่มันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบมากนัก  (ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงคนไทยไร้ระเบียบนะครับ  ทุกประเทศต่างก็มีกฎกติกาของมันอยู่แล้ว แต่พี่ไทยเรา  รู้และเข้าใจว่าจะรับมือกับกฎกติกานี้อย่างไร)

2.ถ้าคุณชอบอ่านคอมเมนท์ในโลกอินเตอร์เน็ต  คุณจะพบว่าคนไทยชอบดูถูกกันเอง  ผมอยากจะบอกคุณว่า...นั้นมันแค่ส่วนน้อยที่คุณเห็นนะครับ  (พวกนี้คือนักเลงคีย์บอร์ด) ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นกับวัยเริ่มทำงาน  อารมณ์ยังอยู่ในวัยคึกคะนอง  ผมพูดได้เลยครับว่าคนไทยโดยส่วนมากเป็นคนใจดีครับ  โดยเฉพาะสังคมในต่างจังหวัด

3.ประเทศเพื่อนบ้าน หรือต่างชาติมักจะมองไทยว่า  ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ  นั่นเพราะคุณจะเห็นจากสื่อ  และตามสถานที่ท่องเที่ยวซะมากกว่า  ถ้าหากคุณรู้จักประเทศไทยจริงๆ  ตามเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองหลวง  คนไทยจำนวนไม่น้อยพูดภาษาอังกฤษได้ครับ

4.อาหารไทย  ขอพูดในมุมของพวกที่คิดลบนะครับที่ว่า  อาหารไทยราคาถูกและไม่สะอาด  ข้อนี้ผมขอแย้งนะครับว่า  ไม่จริง  เพราะคนไทยแท้ที่จริงก็ชอบความสะอาดไม่แพ้กัน  และที่สำคัญพวกเราก็เลือกกินด้วย  ถ้าหากรู้ว่าร้านอาหารนั้นไม่สะอาดจริงๆก็ไม่ไปกินกันหรอกครับพี่ไทย  อย่าไปเหมารวมว่าอาหารไทยสกปรก นั่นเป็นจิตสำนึกที่แม่ค้าควรมีต่อผู้บริโภคมากกว่า

นี่ก็เป็นเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยที่ผมต้องการให้คุณรู้จักคนไทย  ในอีกมุมหนึ่งนะครับ  ทุกประเทศก็จะมีมุมที่น่ารัก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น  คนเราเลือกมองได้ครับ  โดยส่วนตัวผมเอง  การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่  นั่นคือความต้องการของผม ที่ทำให้ผมก้าวข้ามสิ่งต่างๆ ไปได้ด้วยดี

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วัดร่องขุ่น

ช่วงนี้ผมเห็นข่าวลบๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศไทยเรา  รู้สึกตกใจมากโดยเฉพาะข่าวที่  ทัวร์จีนได้ยกเลิก  การเดินทางมาประเทศไทยเราเป็นจำนวนมาก  และส่งผลกระทบในวงกว้าง  แน่นอนครับผู้ที่ได้รับผลกระทบ  และมีผลประโยชน์ก็ย่อมออกมาเรียกร้องต่อภาครัฐอย่างแน่นอน

และในขณะเดียวในส่วนของผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ  ก็มีมุมมองที่กลับกันกล่าวคือ ดีใจด้วยซ้ำที่นักท่องเที่ยวจากจีนบางตาลง  โดยส่วนตัวผมไม่ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ไม่กระทบอะไรมาก  แต่สิ่งที่สำคัญคือ  ถ้าคุณเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็ขอความกรุณา  รักษาความสะอาดของบ้านเมืองเรา ให้เหมือนที่ท่านรักประเทศของท่านเท่านั้นแหละครับ  ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตามทุกคนล้วนรักและภูมิใจในความเป็นชาติของตัวเอง

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการไปหลอกลวงนักท่องเที่ยว  นั่นก็คือ  คนไทยด้วยกันหลอกกันเองนี่แหละ  ผมจึงอยากจะนำเสนอเรื่องราวที่เป็นข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริง  เพื่อให้ท่านจะได้ไม่ต้องไปเสียรู้กับ บุคคลบางกลุ่มที่หวังผลประโยชน์  เพื่อจะกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าโดยรู้สึกว่าเงินของเราถูกปล้น



เริ่มจากวัดร่องขุ่น  สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย บ้านเกิดผมก่อนนะครับ   หลายคนคงพอจะทราบกันบ้างแล้วว่าวัดนี้  ตั้งอยู่ที่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย  ออกแบบและก่อสร้างโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 จนถึงปัจจุบัน

ในเรื่องความสวยงามไม่ต้องพูดถึงนะครับ  สามารถเดินทางไปชมกันได้  แต่ข้อแนะนำสำหรับผมก็คือ  ก่อนเดินทางไปที่นี้  คือให้คุณเตรียมหมวกและแว่นกันแดดไปด้วยนะครับ  เพราะอากาศที่นี้ร้อนมาก  อีกอย่างครับซื้อน้ำไปด้วยก็ได้ถ้าไปซื้อที่นั่นราคาก็ต้องสูงกว่านิดหน่อยเป็นธรรมดา

นอกจากความสวยงามของวัดนี้  โดยส่วนตัวผมมองว่าอาจารย์ท่านได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับงานศิลปะ  ได้เป็นอย่างดี  ศิลปะไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของชาติไหน  แท้ที่จริงทั้งโลกต่างเข้าใจกันทั้งนั้น  เราอาจจะสามารถสร้างตึกสูงเสียดฟ้าได้มากมายด้วยนวัฒกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  แต่ผลงานศิลปะชั้นสูงนั้น  ยากนักที่จะหาผู้คนมาทำกันได้ง่าย  เพราะถ้าไม่มีใจรักและฝีมือขั้นเทพแล้วละก็  ยากมากที่จะทำให้สถานที่นั้นโดดเด่น  มีเอกลักษณ์และสวยงาม

คนไทยโชคดีนะครับ  ที่เรามีศิลปินแห่งชาติและมีวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ที่โดดเด่น  ผมเชื่อเลยครับว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้าย  อย่างที่สื่อพยายามลงข่าวจริงๆหรอกครับ  ในท้ายที่สุด ทุกอย่างจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติเอง  (การที่นักท่องเที่ยวไม่เข้าใจในบางอย่างเกี่ยวกับคนไทย  บางอย่างคนไทยก็ขาดระเบียบวินัยซึ่งนั้นก็มีส่วนจริง  แต่ในความไม่มีระเบียบวินัยคนไทยก็มีน้ำใจที่ยากจะหาที่ไหนในโลกได้  คุณต้องลองมาอยู่ประเทศไทยนานๆ ไม่ใช่แค่การมาท่องเที่ยว คุณจะได้สัมผัสถึงความเป็นครอบครัวในแบบที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหนในโลกได้เลย)

แท้ที่จริงมนุษย์โลกต่างก็ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่ดี  เขาในฐานะนักท่องเที่ยวก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของไทยเรา  ในขณะเดียวกันคนไทยเราก็ต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี  ไม่คิดแต่จะเอาเปรียบคนอื่น  การให้เกียรติซึ่งกันและกันจึงเป็นพื้นฐานสำคัญให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทัศนคติ


ในสังคมยุคใหม่นี้  โลกเราก้าวหน้าขึ้นไปมาก  ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในเรื่องต่างๆ  ทั้งในเรื่องการค้า และอุตสาหกรรม  แต่โลกยิ่งพัฒนาไปเท่าไหร่  มนุษย์กลับมีความรู้ความเข้าใจในทางการเงินน้อยลงทุกวัน  รวมถึงทัศนคติทางการเงินที่ผิดเพลียนไปด้วย

พูดถึงเรื่องเงินๆ ทอง ๆสำหรับบางคนฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าปวดหัว  แท้ที่จริงเพราะลึกๆ คุณกำลังกลัวมันอยู่นั่นเอง  คนที่ก้าวข้ามจุดนี้ไปได้  และไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้เท่านั้นแหละครับ  ถึงจะมีชีวิตอย่างปกติสุขได้  เราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้คนรวยก็เกิดขึ้น  ไม่ต่างจากคนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น  ในระดับที่ถอยห่างกันไปมากขึ้น

แต่ทำไมทุกคนส่วนใหญ่เวลาพูดถึงเรื่องความรู้  มักจะประกอบไปด้วยความต้องการบวกกับความโลภไปซะมากกว่า  ยิ่งรวยก็ยิ่งกลัวมากขึ้น  นั่นเพราะคุณมีทัศนคติทางการเงินที่ผิดไป  ผมอยากให้คุณลองมานั่งคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้ดีนะครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน  หลายๆคน มักจะบ่น ไปต่างๆ นาๆ แล้วเที่ยวเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า  หรือไม่ก็เฝ้าแต่นั่งมองชีวิตคนอื่นแบบอิจฉาและตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้ตัวเองดีขึ้นมา  โดยเฉพาะประเทศไทยเรา  คนที่มีความรู้ในเรื่องการเงินนี้มีน้อยมาก  เพราะเราไม่ได้ไปศึกษาตรงสาระสำคัญหรือแก่นแท้  แต่เราไปศึกษาเปลือกมากกว่า

เราพยายามเรียนรู้วิธีจะรวยทางลัดให้ได้อย่างเขา  เห็นเขาทำอะไรดีทำตาม  เห็นเขาจับอะไรรวย ก็ทำตาม  โดยตัวเองไม่ได้ถนัดหรือชอบมันจริงจังด้วยซ้ำ  สุดท้ายก็จะมามองแบบโลกสวยว่า  คนเราก็ต้องล้มบ้างแล้วถึงค่อยลุกขึ้นสู้ใหม่  การล้มนั่นถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประสบการณ์ในชีวิต  แต่ถ้าล้มบ่อยๆ มันก็พาคุณไปสู่หายนะได้นะครับ

ไม่งั้นจะมีคำพูดที่เป็นกฎติดปากของนักลงทุนเหรอ ที่เขากล่าวว่าข้อแรก  ห้ามขาดทุน ข้อสองให้กลับไปอ่านข้อแรก  คนไทยเป็นคนที่อ่อนไหวต่อเรื่องเล็กน้อยอย่างมาก  โดยจะเห็นได้ว่าถ้าคุณไปเดินตามร้านหนังสือ  หนังสือที่ขายดีมักจะเป็นแนว HOW TO ไปเยอะมาก  หนังสือเหล่านี้ดีไหม  ดีนะครับแต่ยังไงซะคุณก็ต้องเรียนรู้แก่นแท้  หรือพื้นฐานของสิ่งที่คุณจะต้องทำนั่นต่างหาก

การที่คุณไม่ชัดเจนกับตัวเอง  และยังขาดความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง  มีทัศนคติทางการเงินที่ไม่ถูกต้อง ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้  ความรวยกับความสุข  เป็นของที่มีคู่กันได้ครับ  คุณไม่จำเป็นต้องไปฝังความคิดว่ารอฉันรวยก่อนฉันจะมีความสุข  รอฉันรวยก่อนฉันจะทำสิ่งนั้น สิ่งนี้  เพราะก่อนที่คุณจะรวยคุณก็ต้องเริ่มพฤติกรรมที่คนรวยเขาทำก่อนเลยครับ  ไม่ต้องรอหรอก  ฝึกนึกภาพตัวเองให้ชัดเจน อีกห้าปี  สิบปีจากนี้ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร  มนุษย์จะเป็นในสิ่งที่คุณคิด

ใช่อยู่ครับว่าบางครั้งเราอาจเจอสถานการณ์ที่แย่ๆ  แต่ในความเป็นจริงเราเลือกที่จะมองได้ว่า  เรื่องที่เราเจอนั้นแย่  หรือไม่แย่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองอย่างไร  ยังไงก็ลองเอาไปทบทวนตัวเองดูนะครับ  ผมอยากให้คุณรวย  พอคุณรวยก็จะได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ  ได้ต่อไปเรื่อยๆ ส่งต่อกันเป็นทอดๆครับ  วันนี้สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ประสบความสำเร็จในแบบของเราเอง


ผมไม่แน่ใจนะครับว่า  มนุษย์เราแต่ละคนนิยามคำว่า "ประสบความสำเร็จ" ไว้กันยังไงบ้าง  ใช้อะไรเป็นตัววัด  แต่สำหรับสังคมไทยของผม 

1.ทำงานเป็นข้าราชการ หรือ พนักงานรัฐวิสาหกิจ    ประเทศกำลังพัฒนาแบบผมผู้คนส่วนใหญ่มองเรื่องอาชีพแบบนี้มั่นคงและมีเกียรติ  อาชีพนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสังคมไทย เพราะค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น เรียนจบปริญญาตรีไม่แตกต่างจากภาคเอกชนแล้วครับ

2.ทำงานในบริษัทใหญ่โต  เพื่อหวังสวัสดิการที่ดีกว่า และเงินเดือนโบนัสที่สูงกว่าค่ามาตรฐาน  บางทีถึงกับยอมทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบมันจริงๆ ด้วยซ้ำ  แค่เพราะมันเป็นบริษัทใหญ่โต

3.ทำกิจการส่วนตัว  อีกทางเลือกหนึ่งที่เจอมากคือ  เป็นพวกไม่ชอบทำงานตอกบัตร  ก็เลือกเส้นทางที่ตัวเองต้องการ  แล้วแต่ความถนัดของตัวเองไป  ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ

แท้ที่จริงมันก็ไม่ผิดหรอกครับ  เพียงแต่ว่าผมไม่อยากให้ทุกคน  เอาความหวังไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก มากจนเกินไป  เอาเข้าจริงโลกแห่งความจริงกับสิ่งที่คุณคาดหวัง  มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหวังไว้ทั้งหมดหรอกครับ 

แต่เพราะผมเห็นเพื่อนผม และหลายๆ คน เอาความฝันและทุกอย่างไปฝากไว้กับสิ่งภายนอกเหล่านี้มาก  จนพวกเขาไม่รู้จักความสุขที่แท้จริงของพวกเขา มันคืออะไรกันแน่ ?  อะไรคือสิ่งที่เขาอยากจะทำม้นจริงๆ  มากไปกว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ 

เราอยู่ในสังคมแห่งมายาคติ  คำนิยามของคำว่าประสบความสำเร็จ  ก็คือ  รวย มีทรัพย์สินเยอะๆ  จนกลายเป็นว่าความสุขเป็นเรื่องรองลงมา  คนเราพอตั้งโจทย์ให้ตัวเองแบบนี้  เราก็จะวิ่งตามสังคมแห่งมายาคตินี้  ไปเรื่อยๆ  ไม่ต่างอะไรจากนิทานหลอกเด็ก  แทนที่เราจะมาหาว่า ความพอดีในอุดมคติของเรา แท้ที่จริงมันเป็นยังไงกันแน่  อิสระในการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตส์ชีวิตที่เราต้องการนั้น  เป็นแบบไหนตรงตามที่เราต้องการใช่หรือไม่ 

ผมอยากให้คุณลองนั่งทบทวนตัวเองให้ดี  คุณจะยอมตกเป็นเครื่องมือแล้วอยู่ในวังวนนี้ไปเรื่อยๆ  จนมันกัดกินหัวใจคุณ  ต้องมานั่งกังวลว่า ถ้าหากฉันไม่ทำงานแล้วฉันจะมีเงินจ่าย  ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไหม แล้วไหนจะค่าบัตรเครดิตอีกละ  ความกังวลเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณสำรวจและเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้  เราต้องกลับมาเป็นตัวเราเอง  และเริ่มวางแผนทางเดินชีวิตของคุณ  ถ้าหากสังเกตกันให้ดีมนุษย์มักจะไม่กังวลในสิ่งที่ตัวเองมั่นใจว่า  มีคุณสมบัตินั้นอยู่แล้ว  ผิดกันกับสิ่งที่มนุษย์ไม่มีสิ่งนั้น ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องการและกลัวมัน  หรือมีมันอยู่แล้วแต่ก็กลัวจะเสียมันไป

เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องราวดีๆ หรือร้ายก็ตาม  ต่างก็ให้ประสบการณ์หนึ่งกับคุณ  ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง  คุณเลือกได้ว่าจะรับสิ่งไหนเข้ามาให้คุณ  ผมมั่นใจเลยครับว่า  คุณก็ประสบความสำเร็จ  ในแบบของตัวเองได้เช่นกัน

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กับดักชีวิต

จะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้  ที่เราจะยอมรับข้อผิดพลาดในตัวของเราเอง  แล้วกลับมาทบทวนเพื่อที่จะแก้ไขอะไรบางอย่าง เพียงเพื่อต้องการที่จะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม



ชีวิตเราเต็มไปด้วยกับดักต่างๆ มากมาย  ไม่ว่าจะเป็น

-กับดักทางสังคม จากความคาดหวังในสังคมและคนรอบข้าง

-กับดักที่ตัวเราเองสร้างขึ้นมา

-กับดักที่เราได้รับผลกระทบจากอิทธิพลรอบข้าง


มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  เราต่างต้องใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่จะต้องเจอกับ "กับดัก"  เหล่านี้  สิ่งที่จะไม่ให้เราหลงทางได้ดีที่สุดก็คือ  เราต้องรู้จักตัวเองให้มาก  ว่าอะไรคือ ความต้องการที่แท้จริง

บางทีความคาดหวังในตัวเอง  ความคาดหวังในสังคม มันก็สร้างความกดดันให้กับมนุษย์เราจริงๆ  ทำให้เราอยากทำอะไรในสิ่งที่เราอาจไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ เพียงเพราะว่ามันมีคุณค่าในสายตาของสังคม  ที่เขากำหนดไว้ว่า คือสิ่งที่ดีนั่นเอง 

ก่อนที่เราท่านจะตัดสินใจทำอะไร  ผมอยากให้คุณลองกลับมาทบทวนตัวเองสักนิดก่อนว่า  มันคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ หรือไม่

- คนบางคนยอมทำงานที่ตัวเองไม่ได้รัก เพียงเพื่อได้เงินมากๆ 

- คนบางคนยอมทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องเพียงเพื่อเงิน หน้าตา ชื่อเสียง

จะเห็นได้ว่าเรากำลังตกเป็นทาส ของวัตถุ  เรานำทุกอย่างเข้ามาหลอกหลอนตัวเรา  ทำให้จิตวิญญานเราขาดความเป็นอิสระ  แล้วเมื่อไหร่ละ...ชีวิตคุณถึงจะได้พบกับอิสระอย่างแท้จริง

ยิ่งเรียนจบเข้าสู่โลกการทำงาน  บางคนกลับบอกว่างานเยอะมากแทบไม่มีเวลา  แต่ก็แปลกว่าพวกเขาเก่งในเรื่องงานมากขึ้น  แต่กับหาเงินได้เท่าเดิม  เลยกลับมานั่งคิดว่าเราให้ความสำคัญอะไรผิดไปหรือเปล่า  โลกนี้ช่างแปลก  คนรวยหาเงินเก่ง กับคนขยันทำงาน  มันคนละเรื่องกันเลย

กลไกบางอย่างที่กำหนดให้คนเราต้องทำอะไรบางอย่าง  เหมือนตัวเองกำลังถูกควบคุม  ทำไปโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำไปเพื่ออะไร  จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า พวกที่เป็นนักบริหาร พวกที่รู้เกี่ยวกับกฎหมาย บัญชีการเงิน จึงไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้  ต่อให้คุณเรียนไปสูงขึ้นก็แค่เป็นการต่อยอดในการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเท่านั้นเอง 

คนที่เป็นเจ้าของกิจการ  ไม่จำเป็นต้องไปเรียนหลักสูตรอะไรมากมายให้ปวดหัวหรอกครับ  ข้อสำคัญแรกเลยคือ  คุณต้องเรียนรู้เกี่ยวกับงานขายก่อนเลย  เพราะธุรกิจจะเดินได้ก็ต้องมีรายได้เข้ามา  สิ่งที่ดีที่สุดคือ  การลงภาคสนามทดลองขายจริงเลย  อย่าไปเสียเวลาเรียนปริญญาหรือเข้าสัมมนาให้เสียตังเลยครับถ้าหากคุณต้องการเป็นเจ้าของกิจการจริงๆ 

เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน  เมื่อเราเข้าใจตัวเองมากๆเราก็จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น  ยอมรับความคิดเห็นของผู้คน  ยิ่งเราตัวใหญ่ขึ้น  เราต้องรู้จักเป็นผู้ฟังให้มากๆ  การฟังเกิดประโยชน์มากกว่าการพูด เพราะฉะนั้นจงเป็นผู้ฟังที่ดี  เพื่อใช้ในการพัฒนาตัวเองครับ  ยังไงก็ขอฝากทุกท่านลองไปทบทวนดูนะครัับ




วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทาสเงิน


โลกในยุค 2100 เงินจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์โลก  เป็นเรื่องที่เราปฎิเสธไม่ได้  คนที่มีเงินมากก็คือคนที่มีอำนาจในมือมากนั่นเอง  ระบบทุนนิยมทำให้สังคมเกิดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม  ระหว่างคนชนชั้นกลางและคนรวย  สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงไม่ได้ต้องการจะให้ทุกท่านเข้ามาแก้ปัญหาระดับมหัพภาคขนาดนี้

แท้ที่จริงเงิน  ไม่ได้เลวร้ายอะไร  แต่สิ่งที่เลวร้ายคือมนุษย์เรานั่นแหละ  เราให้ความสำคัญกับเงินมาก จนสามารถทำลายทุกอย่างได้เพื่อเงิน  ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง มิตรภาพ หรือแม้กระทั่งเพื่อน  คุณจะรู้สึกตลอดเวลาว่าชีวิตขาดเงินไม่ได้  หากไม่มีเงินก็จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างยากลำบาก  เราถูกปลูกฝังให้ความสำคัญกับเงินมากทีเดียว

สิ่งที่ผมอยากจะให้คุณกลับมามองที่ตัวเองว่า...  อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ  ลองหยุดวิ่งตามคนอื่น  โดยลดความสำคัญกับเงินที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตคุณ  แล้วลองถามใจตัวเองว่า  ฉันจะใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพได้อย่างไร  โดยที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งนี้  อะไรที่จะนำฉันไปสู่อิสรภาพในการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวฉันเองต้องการ  และหลุดพ้นจากวงจรเหล่านี้

การฝึกตั้งคำถาม  ย่อมจะนำมาซึ่งคำตอบที่อยู่ภายในจิตใจของคุณ  หลายคนปฎิเสธเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  บางคนถ้าพูดเรื่องนี้ในวงสนทนาก็มักจะจบด้วยว่าเป็นเรื่องเครียด น่าปวดหัว  มันก็จริงอย่างว่านะครับ  แต่ถ้าหากคุณไม่เผชิญหน้าหรือทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เเบบจริงๆ จังๆ ในที่สุด  คุณก็จะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย  อย่างไม่ต้องสงสัย  ฟังดูเจ็บปวด แต่โลกแห่งความจริงก็แบบนี้แหละครับ  อ่อนเเอก็แพ้ไป

การใช้ชีวิตอย่างฉลาดจึงเป็นทางเลือกใหม่ในยุค 2100 โดยเฉพาะประเทศไทย ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  เราปฎิเสธไม่ได้เเล้วครับว่า  สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคม "ผู้สูงอายุ"  ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆประเทศ  ไลฟ์สไตส์จึงเป็นตัวกำหนดที่ดี  ที่จะให้เราเลือกวางแผนชีวิตของเราได้ในแบบที่เราต้องการที่จะเป็นกันจริงๆ  

ยิ่งในสังคมของประเทศที่พัฒนาแล้ว  ทุกคนสามารถเลือกชีวิตในรูปแบบที่ตัวเองต้องการได้  มากยิ่งกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา  พวกเขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ  และเลือกที่จะเดินทางนั้นอย่างไม่ลังเล ผิดกับประเทศไทย  เราที่กำลังจะก้าวข้ามไปสู่ประเทศที่ผู้คนเริ่มมีรายได้ปานกลางถึงสูง และมีแนวโน้มที่จะค่อนไปทางสูงกันมากขึ้น  ในอนาคตประเทศเล็กๆนี้  อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย

การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ผมไม่ได้อยากต่อว่าคนไทยด้วยกันนะครับ  คนไทยเป็นคนที่มีความรู้ในทางการเงินน้อยมาก  อะไรที่ซับซ้อนเกินไป โดยพื้นฐานของคนไทยส่วนใหญ่มักจะถอยห่างไปเลย  พวกที่ว่าตัวเองมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในทางการเงินจริงๆ  หาได้น้อยมาก  เราจะเจอแต่พวกที่ไม่รู้จริงไปเยอะมาก  ทางที่ดีคุณควรศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้มาก ๆ  อย่าได้ไปหลงเชื่อใครง่ายๆ  พวกที่หวังผลประโยชน์ก็มีเยอะ  คนที่ฉลาดในเรื่องเงินที่สุดก็คือ "ตัวคุณนั่นเอง"

ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด  จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการให้ท่านได้หันมาทำความเข้าใจ  เกี่ยวกับเงินในรูปแบบใหม่  ไม่ใช่เพียงเพื่อแต่สะสมความมั่งคั่ง  เพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคมเท่านั้น  หากคุณเข้าใจและใช้มันเป็น  เงินมันจะเป็นอะไรได้มากกว่านั้น  คุณสามารถเลือกรูปแบบชีวิตในแบบที่คุณต้องการ   มันไม่มีสูตรลัดอะไรตายตัวหรอกครับ  สำหรับเรื่องการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล  มันขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตส์ของแต่ละบุคคล  เอาเป็นว่าค่อยๆเรียนรู้กันไป อย่าไปกลัวเรื่องวางแผนการเงิน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป รับรองว่า คุณจะไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หยุดดูถูกกันเองได้แล้วครับ


ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้  มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับบุคคล  ไปจนถึงระดับชาติ  พอย้อนกับมามองเรื่องนี้ทำให้ผมได้เข้าใจหลักคำสอนของศาสนามากยิ่งขึ้น 

กล่าวคือ  ยามขึ้นอย่าหลง  ยามลงอย่าท้อ

ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน  อะไรที่เราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเป็นไปแบบนี้  ต่อไปมันก็ไม่อาจเป็นแบบนี้ก็ได้  เรากำลังหลงบางทีถึงกับทนงตนเอง  ว่าตัวเราเองดีเหนือคนอื่น  แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป  อาจมีคนที่เหนือกว่าเรา  เก่งกว่าเราเพียงแต่เขาไม่เปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง

เราเอาแต่หวังพึ่งพาแต่คนอื่น  โดยลืมไปว่ามนุษย์เราต้องหันมาพึ่งพาตัวเราเอง  นั่นคือ หลักการเบื้องต้นของมนุษย์ที่ควรพึ่งปฎิบัติ  การเรียกร้องอะไรมากเกินความจำเป็น  มองเห็นผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อนประโยชน์ส่วนรวม  ในท้ายที่สุดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สำคัญก็อาจจะรุกลาม  กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ  จนในที่สุดตัวคุณก็จะได้รับความเดือนร้อนตามไปด้วย

ทุกสิ่งที่มนุษย์ทำลงไป  ไม่ว่าจะเป็นเหตุดี  หรือเหตุไม่ดี  มันย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ในรูปของ "กฎแห่งกรรม"  โดยเฉพาะประเทศไทย  ถ้าคนไทยไม่ทะเลาะกันเอง  ไม่มีการคอร์รั่ปชั่น รับรองได้ว่าประเทศของคุณไม่น้อยหน้าใครในโลกเลยครับ  ผมไม่ได้ต้องการให้คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครหรอกว่า  ประเทศเขาดีกว่าหรือประเทศเราดีกว่า

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ คนไทยชอบดูถูกกันเอง  เรื่องที่วิพากวิจารญ์กันเยอะสุด  น่าจะเป็นเรื่องคนไทยอ่านหนังสือวันละ 7 บรรทัดนี่แหละ  คนไทยด้วยกันชอบย้ำมาก  ผมว่านะ..  ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าหรือไม่  ไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่การอ่านหนังสือหรอกครับ

มีสิ่งสำคัญกว่านั้นอีก  สำหรับผมคือ ความดี  ความมีระเบียบวินัย  ความรักและสามัคคีกันเองในชาติ และความซื่อสัตย์สุจริต  สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าในทุกด้าน  คนฉลาดขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำประโยชน์ให้ชาติได้  ถ้าหากคนนั้นเป็นคนไม่ดี  ก็ย่อมนำหายนะให้กับชาติได้เหมือนกัน 

ผมเข้าใจนะครับว่า  สังคมปัจจุบันนิยมชมชอบคนเก่ง คนรวย มากกว่าคนดีด้วยซ้ำ  แต่แก่นแท้ยังไงก็คือ แก่นแท้  มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าคุณจะเป็นคนเก่ง คนรวย และมีจิตใจที่ดีด้วย  โลกและผู้คนจะสรรเสริญคุณมากแค่ไหน  อย่าว่าแต่โลกเลยครับ  ชีวิตหลังความตายของคุณ  มันก็ต้องไปพานพบในสิ่งที่ดีแน่นอน  ลองหยุดนิ่งกับทุกอย่าง  หันมาดูความเป็นไปของโลกตามแบบที่มันควรจะเป็น  มองเห็นโลกในหลายๆมุม ตามแบบที่มันควรจะเป็น  แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  รู้จักปล่อยวางกับบางสิ่ง  เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตคุณ  พึ่งพาตัวเองให้มากๆ  และแบ่งปันสิ่งต่างๆให้ผู้อื่นแค่คิดโลกก็น่าอยู่ขึ้นมาหลายเท่าแล้วนะครับ


วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปัญหาระบบงาน


วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะมานั่งฟังปัญหาของเพื่อน  เกี่ยวกับที่ทำงาน  ซึ่งโดยปกติผมก็นั่งฟังปัญหานี้บ่อยมาก  โดยปกติที่ทำงานเราจะพบปัญหาใหญ่อยู่ 2 เรื่อง

1. ปัญหาเรื่องคน  (ต้องค่อยๆปรับแก้ไขกันไป)

2.ปัญหาเรื่องระบบ (ปรับปรุงระบบงานให้ง่ายต่อทุกฝ่าย)

เรื่องคนนี้เป็นปัญหาโลกแตกที่เราแก้กันยากอยู่แล้ว  ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา  แต่ปัญหาระบบนี่ซิครับ  ผมว่านะ ...  (ทำให้เหมาะกับองค์กรของคุณจะดีที่สุดครับ)

สำหรับองค์กรเล็ก   ระบบการทำงานควรมีความคล่องตัวสูง  ไม่ควรซับซ้อนมากแต่ปัจจุบันนี้องค์กรเล็กๆ  พยายามทำระบบให้เหมือนกับองค์กรใหญ่ 
                                 ปัญหาที่ตามมาคือ ยิ่งทำงานก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งที่ตัวงาน  จริงๆมีแค่นิดเดียวเอง  สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว                           

สำหรับองค์กรใหญ่  ระบบที่ใหญ่ควรแบ่งสายงานให้ชัดเจน  อย่าใช้ระบบจับฉ่าย  แยกย่อยให้
 ทุกฝ่ายทำงานให้คล่องตัวที่สุด  การบังคับบัญชาก็ควรให้จบที่หัวหน้าฝ่ายนั้นๆ ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจเฉพาะส่วนงาน
                                ปัญหาที่ตามมาคือ  องค์กรขนาดใหญ่พยายามทำระบบให้เป็นมาตรฐาน   เดียวกัน   สิ่งที่ตามมาก็คือ  ระบบกลับยิ่งซับซ้อนมากขึ้น  การทำงานของพนักงานระดับปฎิบัติงานก็ขาดความคล่องตัวไปอีก  ผลงานที่ได้ประสิทธิภาพกลับเท่าเดิม หรือลดลงกว่าเดิม                                     
                               
ส่วนตัวผมเเล้วไม่มีระบบที่ดีที่สุดหรอกครับ  มันขึ้นอยู่กับว่าระบบเหมาะกับองค์กรของคุณไหมดีกว่า  ระบบที่ดีที่สุดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีรอยรั่ว  และระบบที่ดีที่สุดก็อาจไม่ได้เหมาะกับทุกองค์กร  ยิ่งถ้าเป็นการวัดผลจาก KPI ด้วยแล้ว

ส่วนตัวผม KPI ไม่ได้เหมาะกับทุกประเภทงาน  เพราะงานบางอย่างไม่สามารถวัดผลจากตัวเลขได้  บางทีงานที่ไม่เข้าตาเรา  อาจไปโดนตาของลูกค้า หรือเหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรของเราก็ได้  คนไทยเป็นคนที่มีความหลากหลาย  และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน  เพราะหลักในงานทำงานคือ  ผู้ทำงาน ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และลูกค้า Happy แค่นี้ก็ Win Win แล้วครับ

องค์กรในยุคต่อไป  อาจแทบจะไม่ต้องจ้างคนให้มาก  ส่วนใหญ่จะเป็นการจ้าง Outsource ไปแยะกว่า  และแก้ปัญหาความซับซ้อนของระบบบางอย่างในการปรับลดต้นทุนทางธุรกิจ  ลงไปด้วย บางทีมันก็เป็นเรื่องจริงนะครับ  มากคนก็มากปัญหา (แต่ถ้าองค์นั้นเจอคนที่โอเครก็แล้วกันไปครับ)  ผมไม่อยากให้คุณมานั่งมองใครว่าคือตัวปัญหาหรอก  เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะทำงานในรูปแบบไหน  ทุกคนล้วนต่างต้องหาจุดที่พอดีให้กับตัวเอง และผู้อื่นเพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน การทำงานจะสมบูรณ์ได้นอกจากผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว  ก็ต้องจบแบบ Win Win กับเพื่อนร่วมงานด้วยครับ (ไม่มีใครยกคนที่เหยียบตัวเองขึ้นที่สูงโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนหรอกครับ)

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เลิกทาสกันได้แล้ว

ทุกคนล้วนตกเป็นทาส  
ไม่ว่าจะทาสทางวัตถุสิ่งของ เงินทอง 
หรือทาสของอารมณ์ความรู้สึก  
สิ่งเหล่านี้ในทางพุทธศาสนา  เรียกว่า กิเกส


ทุกวันนี้มนุษย์เราเรียกได้ว่าใช้ชีวิตเกินพอดี  เราบริโภคทุกอย่างจนเกินความจำเป็น  โดยลืมไปว่าผล
กระทบที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์กำลังทำลายล้างโลกโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกร้อน ปัญหามลพิษ  ปัญหาขยะ  ปัญหาปล้นชิงทรัพย์  ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความต้องการของมนุษย์  นั่นเพราะโลกสบายขึ้น  มนุษย์ก็ต้องการความสะดวกสบายนั่นเอง  มนุษย์จึงพยายามหาทางลัดให้ตัวเองไปสู่ความสำเร็จ  ให้เร็วที่สุดโดยไม่สนใจว่า  อะไรคือความถูกต้อง

มนุษย์ถ้าทำอะไรที่ผิดไปจากธรรมชาติ  มักจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับจิตใจของคุณ  ภาวะที่บางทีก็กลัว  บางทีก็กล้า บางทีก็รู้สึกบ้าหลุดโลก  นั่นเพราะจิตใจคุณไม่ปกติ  ว้าวุ้นใจ  แท้ที่จริงเราสามารถเลือกทางเดินในแบบที่เราต้องการได้นะครับ 

บางทีเราก็ไม่รู้หรอกครับว่า  มันจะพาเราไปสู่เส้นชัยหรือไม่  อาจเพราะข้อจำกัดอะไรบางอย่าง  ที่เราสร้างมันขึ้นมานั่นแหละทำให้เราไปถึงฝั่งไม่ได้  หรือช้ากว่าที่เราคิด  ลองเปลี่ยนความคิดคุณดูซิครับ  อะไรบ้างที่เราทำได้ดีและทำเงินได้จริงๆ

คนไทยเป็นคนที่แปลกกว่าชาติอื่นคือ  มักจะไม่พูดอะไรตรงไปตรงมา  พูดจาอ้อมค้อมทั้งที่ใจจริง  ตัวเองต้องการสิ่งนั้นก็จะบอกว่าไม่ต้องการ  จะปฎิเสธก็ไม่กล้าที่จะปฎิเสธตรงๆ  เวลาพูดจาตรงๆ  ผู้ใหญ่ก็จะมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าว  วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควรสืบสานนะครับ  แต่กับบางเรื่องโลกมันเปลี่ยนไปเราก็ควรปรับตัวให้ทันกับโลก 

ผมไม่ต้องการให้พวกคุณตกเป็นทาส  เพราะการเป็นทาสเท่ากับคุณถูกฝังตัวเอง  และปิดกั้นตัวเองจากเรื่องต่างๆ มากมาย  บางทีโอกาสมันก็ซ่อนอยู่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ  ข้อสำคัญคืออย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น  ควรวัดตัวเองและศึกษาพัฒนาตัวเราเองจากจุดที่เราดีและเก่ง  อย่าวิ่งตามคนอื่นที่เขาบอกว่าดี  เป็นตัวของคุณเอง เชื่อมั่นในความสามารถของตัวคุณเอง  อย่าหลงกับความเป็นทาสของวัตถุและอารมณ์ให้มาก   ต้องควบคุมมันให้ได้  คุณต้องเป็นนายของมันไม่ใช่เพื่อใคร  แต่เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้น 

คนไทยนิสัยขี้เกรงใจ  จนบางทีตัวเองเดือนร้อน  บางทีก็แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าความกตัญญูกับหน้าที่มันแตกต่างกัน  เรารู้จักเป็นผู้รับมากจนบางที่ไม่เห็นคุณค่าของการให้  หรือพอเขาไม่ให้เราก็คิดว่าเขาแล้งน้ำใจ  แท้ที่จริงมนุษย์เราต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ต่างหาก  จะรอรับจากผู้อื่นตลอดไปไม่ได้  เขาไม่ให้ก็เป็นสิทธิ์ของ  ไม่ควรไปโกรธหรือด่าว่าเขา  หน้าที่ที่ดีที่สุดของคุณคือต้องสม่ำเสมอกับทุกเรื่อง  ให้โอกาสกับตัวเองเมื่อโอกาสมาถึง  อย่าเกรงใจ  อย่าขี้อาย อย่าคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสม เพราะบางทีโอกาสนั้นอาจมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตของทาสอย่างคุณ

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ความสุขที่ได้รับตั้งแต่ลืมตาดูโลก



คุณมองเห็นอะไรในตัวของคุณ ?

คุณพอใจในสิ่งที่คุณเป็นอยู่หรือไม่ ?

มีอะไรที่คุณอยากจะทำหรือยังไม่ได้ลงมือทำหรือไม่ ?

อย่าปล่อยให้คำถามนี้มากวนใจคุณได้นะครับ  หาไม่แล้วมันจะทำร้ายคุณไปตลอดชีวิตก็ได้  มีหลายคนมักจะชอบให้เหตุผลสารพัด  เพียงเพราะว่ากลัวที่จะเริ่มทำอะไรบางสิ่ง บางอย่างให้กับความฝันของตัวเอง  บางคนยอมทรยศความฝันของตัวเอง  เพียงเพราะวิ่งตามอะไรอยู่ก็ไม่รู้

คุณเคยคิดว่าถ้าเป้าหมายที่คุณกำลังทำอยู่  จนพาคุณไปสู่ยอดเขา แต่พอไปถึงจุดนั้นกลายเป็นว่า  มันไม่ใช่เขาที่คุณต้องการที่จะมา  แล้วแบบนี้จะกลับก็กลับไม่ทันแล้ว  เพราะสองสิ่งที่เราไม่สามารถเอากลับมาได้ นั่นก็คือ

1.เวลา   2.อายุของคุณ

โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ  หรือมีเรื่องที่ให้เราต้องรับผิดชอบมากมาย  ทั้งเรื่องที่จำเป็น  และไม่จำเป็น  หากเราเเยกไม่ออกว่าสิ่งไหนสำคัญกับคุณ  และสิ่งไหนไม่สำคัญและสามารถตัดออกไปจากชีวิตได้ละก็  คุณต้องลำบากแน่

อายุ 30 ต้องรู้แล้วครับว่า  ตัวเองต้องการทำอะไรกันแน่  ต้องชัดเจนละแล้วตัดสินใจเริ่มลงมือทำทีละนิดเลยครับ  เพราะมันเป็นวัยที่คุณได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้ระยะหนึ่งแล้ว  โลกได้ให้บทเรียนคุณมาพอสมควรแล้ว  ถ้าหากมองกันตามจริง  คนที่ไม่เคยกังวลกับอนาคตของตัวเอง จะมีอยุ่ 2 ประเภท คือ

1.คนที่ไม่คิดอะไรเลย  หมายความว่าไงก็คือ ใช้ชีวิตไปวันๆ แล้วพร่ำบ่นว่าตัวเองจะต้องรวยขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

2.คนที่เตรียมพร้อมไว้  คนประเภทนี้เราได้ศึกษาความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ  รวมถึงสิ่งที่ไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นกับเรา  แล้วตัดสินใจวางแผนบางอย่างกับตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว คนประเภทหลังนี้มีโอกาสรวยเยอะครับ  เพราะเขามีเงินเก็บและไม่คอยวาสนานั่นเอง

มนุษย์ต่างกันตรงทัศนคติ  ความคิด ความเชื่อ และวิธีการเลี้ยงดูของเขา  เราจะไม่สามารถเปลี่ยนใครได้  ถ้าเขาไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง  แต่เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าคนเราจะมีวิถีชีวิต ความคิดเห็นหรือภูมิหลังที่ต่างกัน  สิ่งที่สำคัญคือ "คุณต้องรู้จักตัวเองให้ได้" ก่อนที่จะไปเข้าใจอะไรมากมาย  การรู้ความต้องการของตัวเอง  เท่ากับว่าคุณได้เข้าใจชีวิตในระดับหนึ่งแล้ว  ไม่ว่าต่อจากนี้ไป  คุณจะพบเจอปัญหาหรืออุปสรรคคุณก็จะก้าวข้ามมันไปได้  เพราะคุณเข้าใจกฎเหล่านี้  และสามารถเรียนรู้ ปรับตัวได้อย่างทันถ่วงที

ผมไม่อาจทราบได้ว่าคุณจะเป็นใครบนโลกใบนี้  แต่ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมาเพื่อทำภารกิจบางอย่างนั่นเอง  บางอย่าง..ที่เราอาจยังนึกไม่ออก  ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้ว  บางทีการที่มนุษย์ทุกข์ใจกับอะไรบางอย่าง  นั่นเพราะความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆ  ที่มากระทบจิตใจนั่นแหละครับ  ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ ผู้คน และอิทธิพลของสื่อต่างๆ 

พอได้เเล้วครับ  เราจะไม่เป็นแบบเขาหรือเอาอย่างเขา กลับเข้ามาบ้าน  บ้านที่อยู่ในหัวใจของเรา  เติมมันให้เต็มก่อน  ความสุขบางทีมันก็อยู่รอบตัวเรานั่นแหละครับ  การไปคาดหวังว่าต้องมีสิ่งนั้น สิ่งนี้ก่อนแล้วฉันจะมีความสุข  นั่นมันก็แค่การเอาความสุขไปฝากไว้กับสิ่งของภายนอก  ย่อมไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  ความสุขที่แท้จริงต้องเกิดจากภายในของเรา  นี่แหละคือสิ่งวิเศษที่มนุษย์เราได้รับมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สิ่งที่ผมต้องการให้สังคมไทยเปลี่ยน

มนุษย์กลัวการเป็นเเปลงมาก  แต่ก็ยังอยากได้สิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเอง  นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มนุษย์เองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า  ตัวเขาเองต้องการอะไรกันแน่  เพราะสังคมปัจจุบันมนุษย์ถูกสอนให้มองไปเเต่เรื่อง  การหาเงินจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องเหล่านั้น  ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดชีวิตก็ได้



สังคมไทยเป็นสังคมที่เรามีวัฒนธรรมที่ยาวนานมาก  เราก็ถุกปลูกฝังในเรื่องต่างๆมากมาย  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากก็คือ

1.ระบบการศึกษา

2.ระบบการรับคนเข้าทำงานในบริษัทหรือองค์กร

ค่านิยมสองสิ่งนี้มันก่อตัวขึ้นกับสังคมไทย  ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้  แต่กลายเป็นกว่ามันเริ่มต้นจากระบบการศึกก่อน  โดยเราจะเห็นได้ว่าโรงเรียน สถาบันการศึกษา ดังๆ มักจะได้เงินทุนสนับสนุนจากทางภาครัฐมากกว่า  (การจัดสรรที่ไม่ค่อยเป็นธรรม)  ผลที่ออกมาก็คือ  คุณภาพของนักเรียนก็แตกต่างกันไปด้วย 

แต่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ทุกที่ล้วนก็มีช้างเผือกของที่นั้น ไม่ว่าจะมาจากโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาที่โด่งดังหรือไม่ก็ตาม  คำถามคือแล้วยังไงละ ?

มันต่างกันตรงพอเริ่มทำงานไงละครับ   ระบบการรับคนเข้างานดันกลับไปล้อตามระบบสถาบันการศึกษา  กล่าวคือ 1.ดูที่สถาบันการศึกษา  2.ดูที่เกรดเฉลี่ย   มากกว่าความสามารถที่ทำได้จริงๆด้วยซ้ำ

จะว่าไปแล้วมันก็ไม่แปลกอะไรที่คนรุ่นใหม่เปลี่ยนงานกันบ่อย  เพราะคุณใช้ระบบนี้ในการคัดเลือกคนกันไงครับ  ยิ่งคนเก่งๆ จบมาจากสถาบันดังๆ  พอได้ทำงานกับองค์กรใหญ่ๆ  แต่กลับไม่มีเวทีให้เขาเลย  เป็นแค่งาน Operation ที่ให้ทำตามระบบเเบบนี้ไปเรื่อยๆ  เห็นแล้วก็เศร้าใจนะครับ แล้วแบบนี้องค์กรจะได้คนที่มีคุณภาพได้ยังไง

คำว่าคุณภาพในความหมายของผมไม่ได้หมายถึงการได้เกรดสูงๆนะครับ  แต่หมายถึงการทำงานเป็น รู้วิธีแก้ปัญหาได้ มีความอดทนและตรงต่อเวลา และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้  และอีกอย่างก็คือ  เลิกเถอะครับที่ว่าใครเด่นเกินหน้าเกินตาตัวเอง  ก็หาเรื่องขัดแข้ง ขัดขาเขา  เพราะนั้นหมายถึงคุณกำลังทำลายบริษัททางอ้อม  แทนที่จะสนับสนุนเขา  บริษัทอยู่ได้เพราะคนที่มีความสามารถนะครับ  ไม่ใช่คนที่คอยคำสั่ง และเอาใจนาย  พอในท้ายที่สุดถ้าองค์กร  ไม่มีผลกำไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคุณไว้หรอกครับ

ผมว่าเปลี่ยนแถอะครับโลกไม่ได้ต้องการคนเก่งแล้วทำงานตามระบบได้อีกแล้ว  ต่อไปถ้า AI (ปัญญาประดิษฐ์) เข้ามาแบบเต็มรูปแบบ ระบบการศึกษาจะต้องเปลี่ยนแผนการสอนใหม่  โดยเน้นในเรื่องการสร้างนวัฒกรรมใหม่ๆ เรื่องความคิดสร้างสรรค์  เพราะสิ่งเหล่านี้ที่จะทำให้คุณแตกต่างจริงๆ  หาไม่แล้วคุณก็จะกลายเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปที่โลกลืมเท่านั้นเอง  

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ละครสะท้อนวัฒนธรรม


เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา  ผมได้มีโอกาสไปแวะชมเทศกาลหนังนานาชาติ ที่หอศิลปวัฒนธรรม เรื่องที่ดูมีชื่อว่า  YOUTH  จากเนื้อเรื่องโดยรวม 

ได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีน จากยุคสงครามมาจนถึงยุคปัจจุบัน  เหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ  ได้สะท้อนเรื่องราวที่น่าสนใจในหลากหลายแง่มุม  ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ใช้  (เขาใช้คนๆเดียวแต่เล่นตั้งแต่วัยรุ่นจนเป็นวัยผู้ใหญ่)
 
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนในยุคสงครามที่น้อยนักจะมีโอกาสได้เห็น  หากไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากทางรัฐบาลจีน  สังคมจีนเป็นสังคมที่ข้อมูลบางอย่างเราไม่สามารถเข้าถึงเขาได้จริง  หากเพื่อนสนใจลองไปหาดูได้  รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

พูดถึงประเทศจีนยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวรสนิยมทางเพศ  (เพศที่สาม) ยิ่งเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับจีนเลย  วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละเทศ  ไม่มีผิดถุก  มันคือเสน่ห์ของแต่ละสถานที่  ที่สะท้อนออกมาในรูปของธรรมเนียมปฎิบัติต่อๆกันมา  จนกลายเป็นวัฒนธรรม   ซึ่งหากเราย้อนไปดูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ไทย กับ จีนแล้ว  เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน  จากข้อมูลที่พบหลักฐาน  ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น  เราก็ติดต่อค้าขายกับจีนเรื่อยมา  คนไทยกับคนจีนแทบจะมีความผูกพันธ์ฉันท์พี่น้องเลย

สังเกตุได้จากคนไทยให้ความสำคัญกับ เทศกาลตรุษจีน  มากกว่า คริศมาส ซึ่งเป็นเทศกาลที่สำคัญในทางฝั่งยุโรป และอเมริกา  นั้นเพราะเราผูกพันกันมาอย่างยาวนาน  แม้กระทั่งวิธีคิดบางอย่าง  อาหารการกิน  เรามีอะไรที่คล้ายคลึงกับจีนมาก  นั่นเพราะการค้า  คือส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆต่อๆกันมา แล้วนำมาปฎิบัติจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ผสมผสานระหว่างกัน

สาเหตุที่ผมยกหนังเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า  สังคมจีนถึงแม้ว่าจะปกครองด้วยระบบทหารแบบเต็มตัว  แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการคบค้าสมาคมกับไทยเรา ที่นับถือแบบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเลยแม้แต่น้อย  และยิ่งในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากที่เข้ามาเที่ยว  และซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศ  นั่นเพราะเขาเห็นอะไรบางอย่างนั่นเอง  บางอย่างที่จะเกิดเปลี่ยนแปลงในอนาคตของสังคมไทยเรา

ส่วนตัวผมอยากให้รัฐบาลสนับสนุน  ในเรื่องการทำหนังแนวรักชาติแบบนี้มาก (มากกว่าหนังพวกตลกที่คล้ายเครียดไปแต่หาสาระไม่ค่อยได้)  คนไทยถ้ารักชาติ สามัคคีกัน ผมมั่นใจได้เลยว่า ประเทศเราจะโตแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน นั่นเพราะพื้นฐานคนไทยชอบที่จะเป็นผู้ให้ก่อน  และก็รู้จักเป็นผู้รับที่ดี  รู้จักการตอบแทนบุญคุณคน  เราถูกสอนในเรื่องความซื่อสัตย์  ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ  และไม่เลือกปฎิบัติต่อชนชั้น  ถ้าหากภาครัฐสนับสนุนเรื่องเหล่านี้มากๆ และภาคธุรกิจและประชาชนต่างก็ให้ความร่วมมือ  ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุดก็ไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และปัญหาความขัดแย้งที่ไม่ลงรอยกันอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ฝันในฝัน

"การที่จะควบคุมความฝันได้นั้น ผู้ฝันจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายฝันเสียก่อน  จึงจะสามารถควบคุมความฝันได้"


ความฝันเป็นเรื่องที่แปลกและซับซ้อน  บางครั้งนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้  แต่ผมเชื่อว่าคุณคงเคยมีเหตุการณ์แบบผมเป็นแน่  ที่เขาเรียกว่าฝันในฝัน

เช่น  ฝันเห็นตัวเองกำลังทะเลาะกับใครบางคนอยู่  แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
         
         ฝันเห็นถูกคนทำร้าย  แต่เราก็ไม่สามารถไปช่วยเขาได้

ความฝันเหล่านี้เขาเรียกว่า Lucid dreaming คือ สภาวะที่คนเรา สามารถที่จะรู้สึกตัว และตระหนักได้ว่าตนเองนั้นอยู่ในความฝัน ในขณะที่ตัวเองฝันอยู่ ทำให้สามารถควบคุมความฝันของตนเองได้ เช่น เมื่อเรากำลังฝันร้าย พบสิงโต ถ้าสามารถควบคุมความฝันได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนสิงโตที่ดุร้าย เป็นแมวเชื่องๆ ได้ แล้วก็จะไม่พบกับฝันร้ายอีกต่อไป ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี และนอนเต็มอิ่ม (ของคุณ Wikipedia)

แต่กลับกันสถานการณ์ของผมจะต่างจากคำว่า Lucid dreaming คือไม่สามารถควบคุมมันได้  เป็นเรื่องที่แปลกมาก  แต่พอได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้มากขึ้น  ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นว่าผมสามารถที่จะควบคุมมันได้  ทั้งในฝันและสถานการณ์จริง

ก่อนอื่นที่คุณฝันเห็นเหตุการณ์ลักษณะแบบผม  ให้คุณระลึกสติไว้เลยว่านี่คือความฝัน  คุณจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกายฝันให้ได้เสียก่อน  

เช่น ในฝันไม่ว่าคุณกำลังอยู่ในบทบาทไหนก็ตาม  จงเล่นไปตามบทบาทนั้น  อย่าคิดว่านี่คือสถานการณ์จริงแต่มันคือสถานการณ์ที่เกิตขึ้นในฝัน  หรือจิตใต้สำนึกของคุณ  ฝึกแบบนี้จนมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายฝันให้ได้เสียก่อน  แล้วคุณจึงจะสามารถควบคุมความฝันของคุณได้

ความฝันบอกอะไร  ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน  แต่โดยส่วนตัวผม  ความฝันกำลังบอกอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในจิตใจของเราอยู่  มันไม่เคยโกหก  จะเกิดขึ้นได้จากหลายสถานการณ์ เช่น

-ความกลัว   
-ความเศร้า
-ความดีใจ เสียใจ ผิดหวัง

ถ้าหากมองกันตามจริง  ก็คือสภาวะอารมณ์นั่นเอง  ภายในจะบ่งบอกว่าทุกสิ่งว่าเป็นยังไง  และขัดแย้งกับภายนอกของคุณหรือไม่  บางทีการที่คุณควบคุมสถานการณ์บางอย่างในฝันไม่ได้  เพราะมันขัดแย้งกับบุคลิคภายนอกของคุณก็ได้  (ที่เรียกว่าไบโพล่าร์ หรือบางคนอาจเรียกว่าโรค คนสองบุคลิก”)  แต่ก็อย่าได้ตกใจไปครับ โรคเหล่านี้รักษาได้  หากรู้จักฝึกสติและควบคุมอารมณ์ของเรา  ทำจิตใจให้สงบผ่อนคลาย  นั่งสมาธิบ่อยๆ  เพราะสมาธิจะเป็นยาชั้นดี  ในการที่จะควบคุมสิ่งต่างๆได้ดีที่สุด  ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์หาใช่เรื่องแปลก  สิ่งหนึ่งเราต้องทำความเข้าใจกับมันก่อนว่า  เราเป็นอะไรกันแน่  ยอมรับความเป็นจริงตรงหน้า  ค่อยๆหาวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ  แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...