วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ต้นไม้ที่รักของกะลา





นานมาแล้วมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งชื่อ กะลา

กะลา  เป็นเด็กหนุ่มที่มีความไฝ่ฝันเขาปรารถนาความสำเร็จในชีวิต  ความมั่งคั่งร่ำรวย  ครอบครัวของเกะลาเป็นชาวชนบทแห่งหนึ่งทุกครั้งที่เขามีความฝัน และได้เล่าความฝันของเขาให้กับแม่ฟัง  แม่เขามักจะมองว่าเขาเป็นเด็กไร้สาระ  ทำอะไรไม่เป็นจริงเป็นจัง

จนในที่สุดกะลาตัดสินใจออกจากบ้านไปตามหาความฝันของเขา  เขาเดินทางไปในที่ต่างๆทั่วโลก  จนในที่สุดเขาก็เจอสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ซึ่งเหมาะมากเขาจึงตัดสินใจจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี้  ที่แห่งนี้เขาได้พบเจอผู้คนมากมาย  ที่นี้ช่างเหมือนสวรรค์บนดินจริง  เพื่อนที่จริงใจ ผู้คนที่น่ารัก

แต่สิ่งที่เขาได้ทำกับคนที่นี้นั่นก็คือ  เขาตัดต้นไม้เพื่อจะเอาไปทำผลงานชิ้นยอดของตัวเอง  เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง  งานชิ้นเอกของเขาก็คือ  เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่พับได้สุดหรูหรา ทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้พยายามคัดค้านการกระทำของเขาแต่ก็หาสำเร็จไม่  เขายังเดินหน้าต่อไป

เขาตัดสินใจนำสินค้าของเขาไปขายในเมือง  ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ หนำซ่ำยังถูกขับใส ไล่ส่งอีกต่างหาก  จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทิ้งผลงานชิ้นยอดของเขาและมุ่งหน้ากลับสู่หมู่บ้านตามเดิม

สิ่งที่เขาทิ้งไว้ เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสมก็ได้รับการยอมรับ  ไม่นานนักผลงานที่เขาได้ออกแบบกลับสร้างความนิยมให้กับเขาเป็นอย่างมาก  จนมีคนเข้ามาติดต่อขอสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปัญหาที่ตามมาก็คือ ต้องตัดไม้ทำลายป่าในปริมาณที่มาก  ผู้คนไม่เห็นด้วยแต่ก็ห้ามเขาไม่ได้  ด้วยความโลบจนหน้ามืดตามั่วไม่สนใจอะไรทั้งนั้น   เขาได้ตัดไม้จนหมดหมู่บ้านหายนะก็เกิดขึ้น  ทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และมลพิษทางอากาศที่รุนแรง

เมื่อป่าหมดเขาก็หมดความสำคัญลงจนในที่สุด  ทุกคนก็หายจากเขาไปในที่สุด  เขาไม่เหลือใครแล้วเขาพยายามขอโทษ โอนวอน ต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่เป็นผล  เมื่อไม่มีต้นไม้ก็ทำให้อากาศเป็นพิษ  ธุรกิจที่เกิดใหม่ก็คือ  ธุรกิจขายอากาศ

มีนายทุนคนใหม่เข้ามาดำเนินการต่อจากเขา  ภายใต้การขายอากาศบริสุทธิ์  สร้างทุกอย่างให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัวเขาเอง  นับวันเข้ายิ่งสร้างความเดือนร้อนมากขึ้นทุกทีและแล้ววันหนึ่ง  เด็กชายต้นน้ำ ก็ถือกำเนิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้  ด้วยความที่เด็กชายผู้นี้เป็นเด็กมีวิสัยทัศน์เป็นอย่างยิ่ง  เขาเป็นเด็กฉลาดและช่างสังเกต  ทำให้เกิดความสงสัยว่า ต้นไม้หายไปไหน  เขาพยายามติดตามหาต้นตอต่างๆของต้นไม้ จนในที่สุดเขาก็ได้รู้จัก กะลา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นตาแก่ผู้ชราไปแล้ว

เขาได้รับฟังเรื่องราวของกะลาและตัดสินใจที่จะปลูกต้นไม้ขึ้นมา  เพื่อสร้างอากาศที่ดีให้กับโลกใบนี้  ภารกิจของเขาถูกขัดขวางจากนายทุนผู้มีอำนาจ  แต่ในสุดความดีและความตั้งใจจริงของต้นน้ำ  ก็สำเร็จผล  ในที่สุดอากาศบริสุทธิ์ก็กลับมาอีกครั้ง


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  1. ความโลภเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ
                                             2.ผู้ที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นไม่ว่าทำอะไรก็ย่อมสำเร็จ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทบทวนตัวเองรอบใหม่





ทุกๆ 10 ปีของมนุษย์มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆกับชีวิตคุณเสมอ

คุณจะเป็นอะไรใน 5-10 ปีข้างหน้า  คำตอบก็คือ  ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่

โลกยุคใหม่กับกระแสโซเซียลเน็ตเวิรค์ทำให้ผู้คนตื่นตัวกันมากขึ้น  ผู้คนชอบที่จะทำอะไรรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าทำอะไรก็ต่างคาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว  จำไว้ครับว่า  ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆในโลก  ทุกอย่างที่คุณได้มามันอาจแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ  ที่อาจมีบางคนกำลังรอเอาทุนคืนจากคุณอยู่ก็เป็นไปได้

ความยั่งยืนในระยะยาว  และการคิดสร้างสรรค์   นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต่างพยายามค้นหาวิธีการที่จะสร้างความสมดุลและยั่งยืนให้กับชีวิตมนุษย์ คิดค้นสูตรหรือเซลล์ต่างๆเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ  ธรรมชาติให้ทุกอย่างมาเป็นของธรรมดา  สิ่งที่เกิดขึ้นอันได้แก่โรคภัยต่างๆ ล้วนแล้วมาจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งนั้น

ถึงวันนี้เมื่อคุณกลับมาทบทวนตัวเอง  จะทำให้คุณทราบว่ามนุษย์แท้ที่จริงก็แค่ต้องการแสวงหาความสุขให้กับตัวเองและทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้  ชื่อเสียง เงินทอง เป็นผลพลอยได้ที่มนุษย์ไปยึดติดกับมันจนทำให้ความทุกข์เกิดขึ้น  อยากเป็นคนที่มีความสุขจงใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา  ความเรียบง่ายมักลงตัวเสมอ  สวัสดีวันหยุดครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตคนก็เปรียบเหมือนกับผีเสื้อ



อะไรที่บอกความเป็นคุณ ?

        ถ้าเจอคำถามเเบบนี้คุณสามารถบอกได้ไหมครับว่าอะไรที่บอกความเป็นคุณได้  ไม่ว่าจะเป็นจุดเด่น หรือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง  เรารู้เรื่องของคนอื่นไปหมด  แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือตัวเราเอง  บางครั้งข้อบกพร่องเล็กน้อยที่คุณมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ  อาจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับใครบางคนก็ได้

       ชีวิตคุณเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง  ทุกอย่างเหมือนจิ๊กซอร์ที่ต่อเข้าให้เป็นภาพใหญ่  ภาพจะสวยงามหรือไม่  คุณเท่านั้นที่รู้  หากจะเปรียบชีวิตคนเราก็เหมือนตัวดักแด้ที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการฟักตัวเป็นผีเสื้อ  จากนั้นก็ออกโบยบินในเส้นทางที่ตัวเองต้องการ


ระยะไข่
ก่อนที่เราจะเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นตัวอสุจิ  ที่กว่าจะฝ่าฝันมาเป็นตัวทารกที่ฟักตัวอยู่ในท้องแม่ของเราใช้เวลานานถึง 9 เดือน  (ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เราต้องใช้ความอดทนและพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้เราสามารถเกิดเป็นทารกได้)

ระยะหนอน
ทารกแรกเกิดมักจะอ่อนแอมาก  ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆมากมาย  ระยะประมาณ 1- 5 เป็นช่วงที่เด็กมักจะเล่นซุกซนมาก  บางครั้งอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ระยะดักแด้
เมื่อโตขึ้น อายุระหว่าง 8-23 ปี ก็อยู่ในช่วงก็การศึกษาเล่าเรียน  อิทธิพลรอบข้าง สิ่งแวดล้อมเพื่อน สังคมที่เป็นอยู่ต่างหล่อหลอมให้เด็กคนนั้นโตขึ้นมาแล้วใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็น  อาจมีบางที่ทำผิดพลาด แต่มันไม่ใช่ความผิดพลาด  มันคือการเรียนรู้เพื่อเติบโตไปสู่วัยผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด

ระยะเจริญวัย (ตัวผีเสื้อ)
เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เราก็เริ่มทำงาน  เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เรียนรู้จากผู้คน  งาน สังคม และความทุกข์  บางครั้งร้องไห้  บางครั้งดีใจ  ในตอนแรกเราอาจเจอสิ่งที่ไม่ใช่ในการทำงาน  แต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างคือประสบการณ์ที่หล่อหลอมเรา  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมบวกกับความพร้อมของเรา  เราก็จะเป็นเราในแบบที่ดีที่สุด


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พัฒนาแหล่งชุมชนให้ดีขึ้น

วันก่อนผมขึ้นรถไฟจากวงเวียนใหญ่ไปมหาชัย  เพื่อไปไหว้พระที่ วัดเพรชสมุทร (วัดหลวงพ่อบ้านแหลม)  เป็นทริปการเดินทางที่ใช้ได้เลยทีเดียว


จากสถานนีวงเวียน  ลงจากสะพานลอยที่วงเวียนใหญ่คุณจะเจอสถานีเลย  ค่าตั๋วรถไฟฟรีครับ  ไม่เสียสักบาท  รถเริ่มออกเดินทางประมาณ 10.40 น. ไปถึงปลายทางประมาณ 11.45 น. ไปถึงที่จะเป็นตลาดมหาชัย  ตรงตลาดมหาชัยเป็นแหล่งขายของทะเลที่ดีมาก  มีของใช้มากมายให้เราเลือกซื้อ  ที่สำคัญราคาถูกมาก  ผมลงจากสถานีก็มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าเเห่งหนึ่งสอบถามจากแม่ค้าถึงวัดบ้านแหลม จากที่เราศึกษาเส้นทางคือ ต้องนั่งเรือข้ามฟากตรงหอนาฬิกา  จากนั้นก็ไปต่อรถไฟอีกต่อจากแม่กลองไปบ้านแหลม   แม่ค้าแนะนำให้ผมเดินทางโดยรถตู้จะอยู่ตรงหน้าศาลากลาง   ห่างจากรถไฟประมาณ 100 เมตร  (ราคาค่ารถ 30 บาท)  รถจะไปจอดตรงใกล้ๆวัดพอดี  ห่างจากวัดประมาณ 150 เมตรครับ



บรรยากาศภายในวัดก็จะเหมือนวัดทั่วไป  มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ  บริเวณนั้นก็จะเป็นตลาดมีของขายมากมาย  ราคาถูกด้วย  เออขอแนะนำร้านกาแฟนิดหนึ่งครับ  ร้านอยู่ตรงที่ทำกรอบพระบริเวณรถไฟจากบ้านแหลมไปแม่กลอง  (รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว) วันนั้นผมสั่งกาแฟนมสด  ลองไปแวะชิมดู เอาละครับขอสรุปเลยละกันครับ

บริเวณวัดเพรชสมุทร : จากการสำรวจบริเวณโดยรอบ  ที่นี้น่าจะเป็นเมืองเก่า  คล้ายๆกับเยาวราช เหมาะมากสำหรับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว  สินค้าเด่น คือ ปลา  ควรมีการพัฒนาพื้นที่นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างจริงจัง  มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าให้โดดเด่น เนื่องจากสถานที่มีทำเลที่เหมาะกับการทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างมาก



บริเวณตลาดมหาชัย  : หากเรามีการอนุรักษ์มากขึ้น  โดยจัดระเบียบการจัดวางสินค้าและดูแลในเรื่องการรักษาความสะอาดให้มากขึ้น  จะทำให้ที่นี้เป็นแหล่งทองในการทำเงินให้กับประเทศเป็นอย่างมาก ขอฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ



การรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัว  การพัฒนาสิ่งต่างรอบตัวให้สามารถทำเงินได้  สามารถพัฒนาชุมชนโดยที่ผู้คนไม่ต้องเข้ามาแออัดกันในเมืองหลวงอย่างเช่นทุกวันนี้  ต่อไปภายหน้าประเทศชาติของเราคงจะเป็นภาพที่น่าดูไม่แตกต่างไปจากประเทศที่พัฒนาแล้วที่เขามีการกระจายทุกภาคส่วนให้ใกล้เคียงกัน

การทำงาน คือ การพักผ่อน



การทำงานคือการพักผ่อน  ผมได้ยินประโยคนี้หลายครั้งแล้วครับเพิ่งจะมา Get ก็ครั้งนี้เอง  เมื่อมีโอกสารมานั่งฟังการอบรม เรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำรองเท้า  โดย อ.ไชยันต์  ไชยสอง  ผมดูจากลักษณะการเรียนการสอนของท่านแล้ว  เราได้ทราบถึงพลังบางอย่างและความตั้งใจจริงกับสิ่งที่ท่านทำเพื่อต้องการให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้  ในส่วนนี้กันจริงๆ

การเริ่มต้นทำธุรกิจอาศัยความตั้งใจจริง  มุ่งมั่น เพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จ  เหนือสิ่งอื่นใด Connextion  และการมีตลาดรองรับ และช่องทางการจัดจำหน่าย  เหล่านี้ล้วนแต่ต้องอาศัยองค์ประกอบ  และการศึกษาทำความเข้าใจ  ข้อมูลพื้นฐานในธุรกิจที่จะทำถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก

การศึกษาจากผู้รู้ผู้ที่มีประสบการณ์  เหมือนเป็นเส้นทางเบื้องต้นก็จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  สิ่งที่จำเป็นหลักๆ

1.Mid Set

2.ประเภทธุรกิจที่จะทำ

3.ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในธุรกิจนั้นๆ

4.การหมั่นตรวจสอบ  มุ่งมั่น  ใส่ใจต่อสิ่งนั้นๆ

5.ทดลองและปฎิบัติและลงมือ

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิทาน จุลลกเศรษฐี พระไตรปิฎก


     วันหนึ่งขณะเขากำลังเก็บกวาดใบไม้อยู่บริเวณถนนหลวงหน้าบ้านจุลลกะเศรษฐี เขาได้ยินเสียง เศรษฐีเปรยว่า“คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงาน” เขาฉุกคิด ได้เมื่อเห็นหนูตายตัวหนึ่งตรงบริเวณนั้นพอดี เขาตั้งใจนำหนูตัวนั้นไปขายที่ตลาด พราหมณ์ผู้หนึ่งได้ขอซื้อหนูเพื่อนำไปเป็นอาหารให้แมว ได้เงินมา “กากณึกหนึ่ง” การเที่ยวเสาะแสวงหาเศษสิ่งของเพื่อนำมาขายนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะจีรังยั่งยืน
      ความคิดใหม่โลดแล่นขึ้น เมื่อบุรุษหนุ่มสังเกตเห็นคนเก็บดอกไม้ออกจากเมืองไปแต่ก่อนตะวันขึ้นเพื่อไปเก็บดอกไม้ในป่า แล้วเดินกลับเข้าเมืองมาด้วยความอิดโรย “ถ้ามีใครหาน้ำให้พวกเขาดื่มสักหน่อยก็คงเป็นที่น่าพอใจนัก”
        เขาจึงนำเงิน “กากณึกหนึ่ง” นั้นไปซื้องบอ้อย หาหม้อใบหนึ่งมาตักน้ำแล้วไปอยู่ตรงบริเวณทางเดินที่คนเก็บดอกไม้เดินผ่านเป็นประจำเขาบริการคนเก็บดอกไม้ด้วยชิ้นงบอ้อยคนละหน่อย และให้ดื่มน้ำหนึ่งซองมือ เพื่อแลกกับดอกไม้คนละหนึ่งกำมือที่พอรวมกันแล้วมากพอที่จะทำให้เขากลายเป็นคนส่งดอกไม้ไปโดยปริยาย เขาทำเช่นนี้อยู่หลายเดือนจนเขารวบรวมเงินได้ “8 กหาปณะ”
พายุฝนที่กระหน่ำได้หอบกิ่งไม้และใบไม้ตกเกลื่อนกลาดในพระราชอุทยาน นำความกังวลใจมาสู่คนเฝ้าสวนยิ่งนัก เพราะยังไม่สามารถที่จะจัดการกับพระราชอุทยานเพื่อรับเสด็จได้เลย บุรุษหนุ่มขานอาสาเก็บกวาดพระราชอุทยานให้โดยมีข้อแม้ว่าเศษกิ่งไม้เหล่านั้นต้องตกเป็นของเขา คนเฝ้าสวน ยินดียกให้โดยหารู้ไม่ว่าเศษกิ่งไม้เหล่านั้นกลายเป็นทรัพย์สินมีค่าถึง “16 กหาปณะ” พร้อมกับภาชนะฝีมือประณีต 5 อย่าง จากช่างหม้อหลวง ที่ขอซื้อเศษกิ่งไม้จากเขาเพื่อเอาไปทำฟืนในการเผาภาชนะดินเผาของหลวง
    เขานำตุ่มน้ำที่ได้ไปตั้งไว้ให้บริการน้ำดื่มแก่คนหาบหญ้ากว่า 500 คน จนมิตรไมตรี ผลิดอก ออกผล วันหนึ่งเขาเอ่ยปากขอหญ้าคนละกำจากคนหาบหญ้า และร้องขอกับคนหาบหญ้าว่า ขอให้พวกเขาอย่าได้ขายหญ้าสักหนึ่งวัน และแล้ววันนั้นพ่อค้าม้าได้นำม้ามาพระนคร 500 ตัว ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าไม่มีพ่อค้าขายหญ้าเลยแม้แต่คนเดียว พบแต่เพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งกับกองหญ้ามหึมา พ่อค้าจึงขอร้องให้ชายหนุ่มขายหญ้าให้ เขาได้เงินมา “1,000 กหาปณะ” พร้อมกับความรู้ใหม่ที่ว่า “ของที่หายากย่อมมีราคาเสมอ” แต่ก็มิได้เบียดเบียนคนขายหญ้าเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเขาขอให้คนขายหญ้าเลิกขายหญ้าแค่เพียงวันเดียว
    วันต่อมาพ่อค้าขายหญ้าคนอื่นก็ยังคงทำกำไรจากการขายหญ้าได้เช่นเดิม เขารุดไปท่าเทียบเรือเป็นคนแรก ก่อนที่เรือขนสินค้าจะมาเทียบท่าเสียด้วยซ้ำ เขาเจรจาต่อรองกับพ่อค้าที่มากับเรือขนสินค้าชั้นเยี่ยมจำนวนมหาศาลด้วยการวางมัดจำแค่แหวนวงเดียว พ่อค้าคนกลางที่ตั้งใจจะมาซื้อสินค้าจากเรือต้องผิดหวังเมื่อพบว่า สินค้าเหล่านั้นได้ตกเป็นของชายหนุ่มไปเสียแล้ว ชายหนุ่มยินดีจะให้พ่อค้าคนกลางทุกคนมีส่วนร่วมในการได้สินค้าจากเรือไปจำหน่าย ด้วยการให้ทุกคนร่วมหุ้นกันซื้อสินค้า เขาได้เงินจากการทำธุรกิจ “200,000 กหาปณะ” แล้วนำเงินกึ่งหนึ่งไปมอบให้แก่จุลลกะเศรษฐี เพื่อตอบแทนคุณที่ท่านได้สอนให้เขากลายเป็นผู้มีอันจะกินมาจนถึงทุกวันนี้ จุลลกะเศรษฐียกบุตรี ให้เป็นภรรยา และได้ดำเนินธุรกิจในครอบครัวจนจุลลกะเศรษฐีเสียชีวิต พระราชาจึงแต่งตั้งเขาให้เป็น “มหาเศรษฐีแห่งพระนคร” คนต่อไปนามว่า “มุสิกเศรษฐี”
      “ถ้าเราเลือกบริการที่ถูกสถานที่ ถูกเวลา และถูกความต้องการของผู้ซื้อ เราย่อมขายได้กำไร” ก็ตอนที่เขาไปบริการน้ำดื่มกับช่างเก็บดอกไม้นั่นประไร “เราต้องใช้ความพยายามอีกส่วนหนึ่ง ที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่เราได้มาให้เป็นสินค้าให้ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งของที่อยู่ในใจของเรามันก็ไม่เป็นเงิน แต่เมื่อคิดว่ามัน เป็นสินค้าเมื่อใด มันก็จะเป็นเงินเมื่อนั้น” ก็ทั้งหนูตาย ทั้งเศษไม้ เหล่านั้นนั่นแหละคือเงินทอง “พอเห็นเราทำอะไรแล้ว ก็มักจะมีคนทำตาม สุดท้ายสิ่งที่เราทำก็จะล้าสมัยไป” ถ้าต้องไปบริการน้ำให้คนเก็บดอกไม้อยู่ร่ำไป สักวันก็คงมีคนทำตามหรือไม่ก็ คนเก็บดอกไม้คงเอาน้ำติดตัวไปดื่มเอง
    “ของไม่มีค่าสำหรับบางคน อาจมีค่าสำหรับอีกคน”
  “เมื่อเรามีเงินแล้ว เราก็ต้องรู้จักใช้เงิน และการใช้เงินทางหนึ่งก็คือ การแบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง แม้เมื่อเรายังมีเงินน้อยอยู่เราก็ทำได้”

ขอบคุณที่มา :http://www.goldtraders.or.th

คนโชคดีคือคนแบบไหนกัน





 “คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้ด้วยทุนแม้น้อยดุจคนก่อไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น

คนโชคดี  ได้รับโอกาส ก็คือคนที่เป็นตัวของตัวเอง
เลือกงานที่เหมาะกับเราจริงๆ ไม่วิ่งตามใคร ไม่เอาเงินเป็นที่ตั้ง
ให้ยึด Passion และอธิบายตัวตนของเรา

เงินจะวิ่งหาคนที่คู่ควรกับมัน  จำไว้นะครับว่าจะเรียนรู้จากผู้รู้จริงๆเช่น

คุณอยากเป็นนักมวย  คุณก็ต้องเรียนกับนักมวยมืออาชีพ
คุณอยากเป็นนักลงทุน  คุณก็ต้องเรียนรู้จากนักลงทุนมืออาชีพ
คุณอยากเป็นคนรวย   คุณก็ต้องขอคำปรึกษาจากคนที่รวยจริง

นั่นละครับ คือเหตุผลที่ไอน์สไตส์พูดว่า
เราอยากได้ผลลัพธ์แบบไหนเราก็ต้องเปลี่ยนวิธีการนั้นเอง
อย่าเอาเวลาไปเสียกับพวกลวงโลก
จงหามืออาชีพเป็นที่ปรึกษาให้คุณแล้วชีวิตคุณจะง่ายมากขึ้น

หลายคนพูดว่าชีวิตตัวเองเจอแต่เรื่องบัดซบ
ให้มันบัดซบไปเถอะครับ  จงเรียนรู้จากความล้มเหลว
ล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา  แต่ในทุกครั้งที่ล้มจะทำให้คุณ "ไม่ธรรมดา"

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ยังไงก็ต้องดีกว่าเดิม



ตอนเป็นเด็กยายมักจะให้ผมอ่านหนังสือเยอะๆโตขึ้นจะได้เป็นคนฉลาด

พอตอนโตยายมักจะสอนให้ผมเรียนรู้จากผู้คนให้เยอะจะได้เข้าใจพวกเขา

วันนี้ผมเข้าใจคำสอนของยายแล้วว่าเพราะอะไร  ในสังคมที่วุ่นวายมนุษย์เราวิ่งวุ่นหาแต่ความสุข ความร่ำรวย

ความเป็นจริงคำว่า ร่ำรวยอยู่ไม่ไกลเลยครับอย่าไปวิ่งหาให้เหนื่อย
เพียงแค่คุณมีธรรม เดี๋ยวก็มีเงิน  งงละซิครับ
การมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว  การใช้จ่ายไม่สุรุยสุร่าย
อยู่แบบคนจน แต่อย่าจนน้ำใจ
กินแบบคนจน  แต่จงรู้จักแบ่งปัน
โลกมี 2 ด้านเสมอ  ไม่สุข ก็ ทุกข์  ไม่รวย ก็ จน
คุณคือผู้เล่นเกมโดยมีเดิมพันคือ "ชีวิตของคุณ"

เมื่อเจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเองจงทำมัน
เมื่อรักสิ่งที่ทำอยู่ก็พัฒนาให้มันสามารถสร้างรายได้ให้กับเรา
อย่าเล่นตามกฏของผู้อื่นยังไงเราก็ไม่มีทางชนะได้
เมื่อเล่นจงเล่นในเกมที่เราถนัดจริงๆ

อย่าจมอยู่กับสิ่งที่ทำให้จิตใจเราทุกข์นานๆ
จนลืมมองหาโอกาสที่อยู่รอบตัวเรา
พรุ่งนี้ยังมีตะวันขึ้นใหม่เสมอครับ สู้ต่อไป


วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ใครก็สามารถเป็นที่หนึ่งได้


เสาร์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปช่วยกิจกรรมงานอาสาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำจากน้ำท่วม  กิจกรรมนี้จัดที่ Root Garden  ใจกลางเมืองหลวงย่านทองหล่อซอย 3 คงจะทราบกันดีแหละครับว่าทองหล่อเป็นสถานที่ที่ดินแพงมาก  ผมไม่คิดเลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้ในตัวเมืองหลวง  ก่อนเล่ารายละเอียดกิจกรรม  ผมขอนำเสนอประวัติผู้ก่อตั้งก่อนนะครับ  ครูองุ่น  มาลิก  เจ้าของที่ดินแปลงนี้ ผมชอบสโลแกนของท่านมากกล่าวไว้ว่า  

“การทำงานเพื่อช่วยบุคคลที่ตกทุกข์และมีปัญหา เป็นปัจจัยชีวิตของข้าพเจ้า”  
ผลงานที่ท่านจัดทำไว้มีประโยชน์ต่อบุคคลเป็นจำนวนมากที่เห็นเด่นชัดคือ โครงการ มูลนิธิไชยวนา  ท่านได้ยกที่ดิน 371 ตาราวา ให้กับมูลนิธิ ปรีดี พนมยงค์  เพื่อขอบข่ายงานช่วยเหลือราษฏรให้กว้างขวางมากขึ้น
และนอกจากนั้นครูองุ่นยังยกหน้าบ้านที่จังหวัดเชียงใหม่ให้นักศึกษาใช้  เพื่อเผยแพร่ประชาธิปไตยสู่ชนบทผ่านกิจกรรมต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ก็ได้ก่อตั้งสหพันธ์ชาวนา ชาวไร่ฯของภาคเหนือ
คนอายุ 20 ปีขึ้นไปตอนนี้ คงเคยดูละครหุ่นตอนเช้าเรื่อง “ เจ้าขุนทอง” ที่เคยออกอากาศทางช่อง 7 สีในวัยเด็กมาบ้าง นั่นล่ะคือส่วนหนึ่งจากผลิตผลของครูองุ่นที่ลูกศิษย์นำไปต่อยอดเผยแพร่ทางทีวี 
ตลอดระยะเวลา 30 กว่าปี ลูกศิษย์ลูกหาที่มีโอกาสแวะมาเยี่ยมเยียนครูองุ่นที่ซอยทองหล่อ มักพบครูในขณะที่หยิบไม้กวาดมากวาดพื้นท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่นในสวนสมดังบทกวีที่ครูได้รจนาไว้ในช่วงบั้นปลายชีวิต 

ตอนที่ผมเข้าไปในงาน  รู้สึกถึงบรรยากาศที่ดีมาก  การจัดงานในวันนั้นมีการแบ่งประเภทไว้อย่างชัดเจน  การแบ่งพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้สอยไว้ ดังนี้

ส่วนที่ 1  ใช้เป็นที่พักอาศัย
ส่วนที่ 2  ใช้เป็นที่ปลูกผัก
ส่วนที่ 3  ใช้ในการเลี้ยงสัตว์  เช่น แพะ  ไก่
ส่วนที่ 4  ใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลา
ส่วนที่  5  เปิดเป็นร้านกาแฟ
ส่วนที่ 6  พื้นที่ว่างในการจัดกิจกรรม

ในวันนั้นมีการจัดกิจกรรม อาทิเช่น  การวาดรุปบนกระเป๋า  การตกแต่งโอ่งให้สวยงาม  และนอกจากนั้นยังมีการขายของพื้นบ้าน และอาหารพื้นบ้านต่างๆ ของประเทศพม่า  กิจกรรมในวันนั้นเด็กส่วนใหญ่ให้ความสนใจและความร่วมมือเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะการเลี้ยงแพะ  ที่เป็นไฮไลน์ของบริเวณงานไปเลย  คุณลองนึกถึงบรรยากาศต่างจังหวัดที่ตอนคุณตื่นเช้ามาเจออากาศที่สดชื่น  และเป็นมิตรกับธรรมชาติ

เราจะเห็นได้ว่าถ้ามนุษย์  รู้จักกิน รู้จักใช้ รู้จักความพอเพียง  ชีวิตก็จะพบกับความพอดี  การเป็นบุคคลมีชื่อเสียงไม่ได้การันตีว่าคุณเป็นบุคคลที่มีความสุข  บางครั้งชื่อเสียงอาจมาพร้อมกับความสุขที่ลดน้อยลงก็เป็นไปได้  คำกล่าวของครูองุ่นที่ผมชอบมากประโยคหนึ่ง ดังนี้

“ฉันไม่คิดว่าการมีชีวิตอยู่เพียงแต่จะกินไปวันหนึ่ง และแสวงหาความสุขไปวันหนึ่ง แล้วก็รอวันเจ็บป่วยและตายนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าอะไร ตามความเห็นของฉัน ชีวิตเช่นนั้นเป็นของว่างเปล่าเท่ากับไม่ได้เกิดมาเลยในโลกนี้ ชีวิตเฉยๆ ไม่มีความหมายสำหรับฉัน ถ้าฉันอยู่ ฉันต้องอยู่ในชีวิตที่ดีงาม และชีวิตที่ดีงามนั้นต้องมีอะไรมากกว่าการหากิน การแสวงหาความสนุก แล้วก็รอวันตาย ชีวิตที่ดีงามย่อมมีอยู่ และถูกใช้ไปเป็นคุณประโยชน์แก่คนอื่น”

ชีวิตมีแค่นี้ก็เพียงพอมากแล้วครับ.....

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อย่ายึดติด




อะไรก็ตามแต่ที่เราแบกไว้แล้วหนักก็อย่าไปแบกมันนะครับ
ปัญหาบางอย่างเราไม่สามารถแก้ไขมันได้ต้องปล่อยวาง
คุณภาพใจที่ดี  ย่อมส่งผลดีให้กับชีวิตไม่ผิดหรอกครับที่บางครั้ง
ชีวิตอาจมีคิดลบไปบ้าง  แต่คุณต้องมีสติ  การมีสติจะส่งผลให้ชีวิต
คุณได้เจอแต่เรื่องที่ดีงาม

ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์มักไหล่ลงที่ต่ำเสมอ  หากคุณไม่อบรมกาย
อบรมจิตให้ดีต่อไปเวลาเจอปัญหาที่หนักๆ  ใหญ่ๆคุณก็ไม่สามารถ
ที่จะควบคุมอารมณ์ได้

บางครั้งเราต้องฝึกให้ตัวเองเป็นคนใจกว้างมีเมตตากรุณาให้มากๆ
คนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี  มักเป็นที่รัก ของมนุษย์ และเทวดา
รวมถึงสัตว์ทั้งหลาย  พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า  บุคคลที่ไม่โกรธ
พึงเจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ  ย่อมเป็นผู้มีความสุข


วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อย่าแก้ปัญหาเดิมๆแล้วหวังผลลัพธ์ใหม่





คนที่ทำอะไรแล้วคาดหวังกับผลลัพธ์เดิมๆ เขาเรียกว่า "คนวิกลจริต"

ตอนนี้คุณเป็นแบบนั้นไหมครับ  ลองเช็คตัวเองดู

1.ตอนตื่นนอนสิ่งที่คุณคิดยังเป็นเรื่องเดิมๆ  และไม่ก่อให้เกิดการลงมือทำเป็นแค่การกำหนดความคิด
2.ขาดการวางแผน  ตอนเช้าของทุกวันคุณมีการวางแผนการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไว้หรือไม่  ถ้าไม่หรือยังทำแบบเดิมๆ  ถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วครับ
3.ตอนนั่งทำงานใจคุณนึกถึงอะไรอยู่  การอยู่กับปัจจุบันสำคัญที่สุดเลือกอยู่กับมันครับ  เพราะความทุกข์เกิดจากการจมอยู่กับอดีตและอนาคตมากเกินไป
4.ตรวจเช็คผลลัพธ์  เมื่อสิ้นสุดวันให้คุณลองทบทวนตัวเอง  ว่าในวันนี้ฉันได้ทำอะไรไปบ้างวัดผลได้หรือเปล่าหรือยังอยู่ที่เดิม  ถ้ายังไม่ก้าวหน้าให้คุณเปลี่ยนวิธีการทันทีนะครับ
5.หมั่นเติมความรู้ใหม่ๆ  เเละเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา  การเป็นผู้รู้จักฟังได้ประโยชน์อะไรมากมายเลยครับ  จงเป็นผู้ฟังที่ดี  หมั่นทบทวนและนำความรู้จากการอ่าน การฟัง การศึกษาเรียนรู้มาพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ก่อนนอนสำคัญมากให้คุณบอกกับตัวเอง  เฝ้าคิดถึงเป้าหมายและสิ่งที่คุณต้องการมันทุกวันเพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันทุกอย่างให้กับตัวคุณ  ขอให้คุณจงเป็นคนกล้าหาญและมีเมตตา  ปัญหาและอุปสรรค์คือยาวิเศษเมื่อคุณเจอบ่อยเข้าคุณจะมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาทันที  เรียนรู้การใช้สติ  เพราะตัวสติคือการเรียนรู้จากภายในออกมาสู่ภายนอก  เมื่อภายในคุณดีคุณก็จะมองโลก  เห็นโลก  ในมุมที่ตัวคุณและคนอื่นไม่เห็น  จะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับโลกได้

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ศิลปะการใช้คน


การเพ่งผู้อื่นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้น  มีแต่จะทำให้จิตใจคุณวุ่นวายไม่รู้จบ  สังคมคิดลบกำลังระบาดแพร่หลาย  วันนี้ผมเลยอยากนำเสนอเรื่องศิลปะของการใช้คน  เป็นศาสตร์ที่ผู้นำจำเป็นต้องมีการจะไปนั่งบนหัวคนหมดยุคแล้วครับ เราต้องเข้าไปนั่งในใจเขาต่างหาก  หลักสัปปุริสธรรม 7 หลักธรรมง่ายๆและยังใหม่อยู่เสมอของการเป็นผู้นำ  ไปดูกันครับ

1.รู้จักเหตุ  ถ้าหากเราศึกษาจากผู้นำระดับโลกหรือระดับประเทศที่ประสบความสำเร็จ  เราจะรู้ว่าทุกอย่างมีเหตุมีผลในตัวของผู้นำเหล่านี้  เราจะไม่แปลกใจเลยทำไมเขาประสบความสำเร็จ

2.รู้จักผล  หว่านพืชแบบไหนก็ได้ผลแบบนั้น  เราอยากให้ความเป็นผู้นำของเราในสายตาผู้อื่นเป็นอย่างไร  เราก็ต้องทำเป็นแบบอย่างแบบนั้นให้เขา

3.รู้จักตน  รู้ว่าตัวเองเป็นใคร กำลังจะทำอะไรมีเป้าหมายในชีวิตยังไง  รู้ความสามารถและศักยภาพของตัวเอง

4.รู้จักประมาณ  การทำอะไรก็แล้วแต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอดี  อย่าทำอะไรสุดโต้งเกินไป

5.รู้จักกาล  การรู้จักกาละเทศะ  รู้ว่าเวลาไหนควรพูด  เวลาไหนควรฟัง รู้จักเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมย่อมเป็นสิ่งที่ดี  จำไว้ครับว่า " โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก แต่ถ้าโง่มากก็ยากจะเป็นใหญ่"

6.รู้จักบริษัท  การรู้จักเข้าสังคม มารยาททางสังคม รวมไปถึงการแต่งกายให้เหมาะกับสังคมสภาพแวดล้อมนั้น

7.รู้จักเลือกคบคน  คบคนพาล พาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล  คบคนแบบไหนเราก็เป็นแบบนั้น  บุคคลที่ฉลาดย่อมรู้จักเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

หากเรามองกันจริงๆ  หลักธรรมมะของพระพุทธเจ้ายังใหม่อยู่เสมอจริงๆ   ไม่เคยล้าสมัยสิ่งสำคัญบุคคลที่จะนำผู้อื่นได้  หลักธรรมเหล่านี้จำเป็นมาก  คุณต้องเรียนรู้และทำตัวเองให้พร้อมเสมอ  คุณจะได้ทั้งใจคนและได้งานที่เต็มไปด้วยคุณภาพ  มนุษย์ต้องการเป็นที่รักและได้รับการยอมรับ  รู้จักให้ความสำคัญกับผู้คน และให้เกียรติเขาปฎิบัติต่อทุกคนในฐานะที่เท่าเทียมกันครับ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เงินแก้ไขปัญหาทางใจได้จริงหรือ




กิจกรรมยามว่างของคนกรุง ก็คือ  การตะเวนทำบุญตามสถานที่ต่างๆ  ยิ่งในสังคมปัจจุบัน  อินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์เรามาก โดยเฉพาะ Facebook เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรทุกคนจะแชร์กันสนั่น  โดยลืมไปแล้วว่าโลกส่วนตัวคืออะไร วันนี้ผมจะขอพูดในเรื่องของการทำบุญแล้วกันครับ  เวลาไปทำบุญสังคมยุคใหม่ก็จะชอบโพสข้อความต่างๆนาๆ

สิ่งที่ผมอยากจะสะท้อนให้คุณๆ ท่านๆ ได้เห็นกันก็คือ  เราใช้เงินในการแก้ปัญหาหรือที่เรียกว่า "ความทุกข์ของคนเมือง"  ถ้ามองกันโดยเนื้อแท้ความทุกข์อยู่ที่ใจ  พอมีความทุกข์สังคมเมืองมักชอบวิ่งเข้าหาวัด ไปทำบุญบ้างละฟังเทศน์บ้างละ  หรือก็ที่ฮิตสุดตอนนี้ก็ไปปฎิบัติครับ  ไม่ผิดนะครับแต่

หากลองคิดกันให้ดีๆ

ไปทำบุญเพื่อให้ตัวเองสบายใจแท้จริงแล้ว  คือการแก้ปัญหาด้วยเงิน  ใช่ครับก็ทำให้เราสบายใจขึ้นมาบ้าง  แต่ปัญหาไม่ได้หมดไป  เปรียบเสมือนหินทับหญ้า  สุดท้ายก็กลับสู่วงจรเดิม

การนั่งสมาธิ  ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีครับ เป็นการฝึกสติได้ดีทีเดียว  ยุคใหม่ที่ฮิตสุดๆตอนนี้ก็คือ คอร์สการปฎิบัติธรรมผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปปฎิบัติธรรมไม่น้อยมีความทุกข์ทางใจ  โดยหวังว่าการปฎิบัติธรรมจะทำให้จิตใจสงบแต่สุดท้าย ก็ไม่ต่างอะไรกับหินทับหญ้า  สุดท้ายก็กลับสู่วงจรเดิม

ที่ผมต้องการสื่อให้เห็นผมอยากให้ทุกท่านมองมาที่ตัวทุกข์จริงๆ แล้วแก้ไขปัญหาด้วยการรับรู้ตามความเป็นจริง  เข้าใจต่อสิ่งที่มากระทบในชีวิต  ยอมรับความเป็นจริงและมองชีวิตแบบปล่อยวาง  การทำบุญมีมากมายหลายแบบ เช่น  การให้ความรู้  การให้สติ  การสอนหลักธรรมมะในการดำเนินชีวิต  การฟังธรรมมะ ฯลฯ  สังคมยุคใหม่มักจะโฟกัสที่การให้สิ่งของทรัพย์สินเงินทอง  ไม่ผิดนะครับ  แต่การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือ ให้อภัย  เป็นสุดยอดทานที่พระพุทธองค์กล่าวไว้  เมื่อจิตใจที่มีแต่ความเมตตากรุณา รู้จักให้อภัยกับทุกอย่าง ไม่ต้องไปพึ่งสิ่งศักดิ์ใดๆเลย ความสุขจะปรากฎอยู่ตรงหน้าให้เห็นกันเลยครับ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความเอาใจใส่กับสิ่งที่ทำ


ที่มาภาพ:  www.wandamrong.com

คนส่วนใหญ่เวลาจะลงมือทำอะไร  ชอบโฟกัสไปที่ตัวเงิน ความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง  ใช่ครับสิ่งเหล่านี้คือผลลัพธ์  แล้ววิธีการละคุณทราบไหมว่าต้องทำอย่างไร ?

งานทุกงานมีความสำคัญหมดครับ  เช่น

- รักษาความปลอดภัย
- คนขับรถแท็กซี่
- คนทำความสะอาด
- คนทำขนมขาย 

ทุกอย่างเป็นอาชีพที่ต่างก็มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น  การทำงานก็คือการอธิบายตัวตนของคุณ  เราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราทำหรือไม่ก็คือ "ความเอาใจใส่ต่อสิ่งนั้น"  ตัวนี้แหละคือวิธีการและหัวใจของเรื่อง
ผมยกตัวอย่าง อาชีพของคนทำขนมขายนะครับ

คนขายหากโฟกัสแค่ความอร่อย ต้องขายให้ได้เยอะๆ อย่างเดียวยังไม่พอครับ  คุณต้องใส่ความตั้งใจและสร้างความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำลงไปด้วย  

การให้บริการลูกค้าก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
การใส่ใจในตัวผลิตภัณฑ์ความพิถีพิถันในการลงรายละเอียด
การสร้างเสนห์และจุดเด่น
สุดท้ายก็เรื่องการนำเสนอโดยทำเป็น เรื่องราว Story

เวลาที่คุณต้องการจะทำอะไรสักอย่าง ลองมองทุกอยา่งรอบตัวดูอย่าเพิ่งไปโฟกัสแต่เรื่องเงิน ใช้เงินให้น้อยแต่คิดให้เยอะๆ  คิดสิ่งที่เป็นไปได้และลงมือทำมันโดยอาศัยสิ่งรอบตัวเป็นแรงผลักดัน  ค่อยๆทำทีละนิด คิดนอกกรอบศึกษาจากผู้อื่นเพื่อเรียนรู้ที่จะแตกต่างไม่ใช่ Copy  แล้วคุณจะสร้างผลลัพธ์ให้กับตัวคุณ  จำไว้ครับว่า "หว่านพืชยังไงก็ย่อมได้ผลอย่างนั้น" 


ความเรียบง่ายมักมีอะไรซ่อนอยู่


เมื่อวานผมดูรายการกบนอกกะลา  เป็นเรื่องวิถีชีวิตของชาวบ้าน บ้านห้วยล้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอน พิธีกรรายการได้พาเราไปดูวิถีการดำเนินชีวิตโดยทำเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน ดังนี้

1.การปลูกกาแฟ พันธุ์อาลาบิกา  และ กาแฟชะมด
2.การทอผ้าขนแกะจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
3.การปลูกข้าวแบบขั้นบันได

พอมองย้อนกลับไปในชีวิตของคนในยุคนี้  การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการรับอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา   ทำให้รูปแบบโครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก  เมื่อได้มองถึงวิถีชีวิตแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เราคนไทยควรอนุรักษ์และสืบทอดกันไว้  ความเรียบง่ายในการดำรงชีวิต  เมื่อเรารักธรรมชาติธรรมชาติก็พร้อมที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับเราเสมอ

หลายคนตามหาความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตแต่สุดท้ายความสุขที่ยิ่งใหญ่อยู่แค่ปลายจมูกเอง  วันนี้ผมขอเล่าวิธีการทอผ้าขนแกะของหมู่บ้านนี้พอสรุปให้ฟังครับ  เพื่อเพื่อนๆจะได้รับข้อดีและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของคุณได้  เริ่มจาก

1. แกะ  สถานที่ต้องมีความเหมาะสม ทั้งสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ แกะที่นี้เป็นแกะพันธ์ผสม ในเเกะ 1 ตัวสามารถถอนขนได้แค่ปีละครั้ง น้ำหนักของขนขึ้นอยู่กับขนาดของตัวแกะ จะอยู่ราวๆ 3-5 กิโลกรัม

2.ขั้นตอนการถอนขน  เราจะจับแกะมัดไว้ทั้ง 4 ขา  จากนั้นก็ใช้กรรไกรที่หาได้ทั่วไปตัดขนแกะ  ทิ้งระยะห่างจากหนังแกะประมาณ 0.5 ซม.

3.การล้างและต้ม  เมื่อได้ขนแกะมาแล้วต้องทำการล้างน้ำสะอาดประมาณ 10 น้ำ  (น้ำสุดท้ายควรล้างด้วยผงซักผ้าเพื่อความสะอาด)  จากนั้นก็นำไปต้มในน้ำเดือนอุณหภูมิคงที่ประมาณ 70 องศา เพื่อทำการรีดไขมันของแกะออก  ประมาณ 30 นาที  เมื่อเสร็จเราจะนำไปล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบซักด้วยผงซักผ้าอีกครั้ง  จากนั้นนำไปตากแดดประมาณ 3 -4 วัน

4.การคัดแยก  เมื่อได้ขนแกะที่ตากแดดเรียบร้อยก็ต้องทำการคัดแยกสิ่งสกปรกออกจากขนแกะ ได้แก่ พวกเศษหิน เศษหญ้าต่างๆ เหลือไว้แต่ขนแกะขาวๆ

5.การแปลง  จากนั้นเราจะทำการแปรงขนแกะ เพื่อให้เกิดปุยขนแกะ กระบวนการนี้ต้องใช้แปลงพิเศษที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ

6.ปั่นด้าย  เมื่อได้ปุยขนแกะแล้วก็ถึงกระบวนการปั่นเป็นเส้นด้าย

7.การย้อม  กระบวนการย้อมที่นี้ทุกอย่างใช้สีธรรมชาติทั้งหมด  เป็นเสน่ห์ที่ควรอนุรักษ์ไว้มากครับ วัสดุที่ใช้คือ กาแฟ และใบไม้ต่างๆในหมู่บ้าน  วิธีการย้อมก็คือ นำไปบดให้ละเอียดจากนั้นนำไปต้มในน้ำเดือดในอุณหภุมิที่เหมาะสม  (ถ้าเป็นกาแฟจะรักษาอุณหภูมิที่ 60 องศา เพื่อรักษาระดับสีที่ย้อมให้คงที่) ส่วนผสม 1 : 1   เช่น ขนแกะ 1 กิโลกรัม : กาแฟ 1 กิโลกรัม เป็นต้น

8.กระบวนการสุดท้ายก็คือการทอผ้า  การทอผ้านี้เป็นงานที่ยากและต้องใช้ความละเอียดของงานเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องศึกษาและเรียนรู้จนชำนาญ จึงจะสามารถทำงานนี้ได้

เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างมีที่มาที่ไป  เกิดจากการอยู้่กับความเป็นจริงอยู่กับสิ่งรอบตัว  ถ้าคนเรารู้จักมองหาประโยชน์จากสิ่งรอบตัว  ทุกอย่างก็สร้างสรรสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้  ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรที่มันพิศดารมากมายหรอก  เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็คืนสู่ธรรมชาติทั้งนั้น  เมื่อทุกอย่างเข้าถึง่จุดสูงสุด ได้แก่ ความเจริญทางวัตถุหรืออะไรก็แล้วแต่  สุดท้ายธรรมชาติก็จะปรับสมดุลของมันเอง


วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความคิดสร้างสรรค์สร้างนวัฒกรรมใหม่ๆให้โลก



หลักการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
             ผลิตภัณฑ์ใหม่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่เคยมีในตลาด เรียกว่านวัตกรรม (Innovation) ผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ (Product Improvment) และผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตทำขึ้นมาลักษณะเหมือนผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันที่มีจำหน่ายในตลาดแล้ว (Mee-too Products) ดังนั้น ที่มาของผลิตภัณฑ์ใหม่น่าจะเกิดจากความต้องการเป็นผู้บุกเบิก (Pioneer) ในตลาดของธุรกิจ ความต้องการปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และความต้องการมีสินค้าจำหน่ายครอบคลุมทุกชนิด เพื่อให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งขันได้ เริ่มจาก

การแสวงหาความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ 
การพัฒนาสินค้าใหม่ขึ้นได้จะเริ่มต้นจากความคิด (Idea) โดยต้องแสวงหาความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มา ให้ได้มากที่สุด ทุกอย่างเกิดจากกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและผลิตออกมาเป็นผลงานชั้นเลิศ

1. ลูกค้า คุณต้องหาตลาดให้ได้ก่อนธุรกิจยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้วเราต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อนจึงขายสินค้า

2. ช่องทางการจำหน่าย สื่อกลางในการติดต่อกับลูกค้าหรือช่องทางถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก  หากจะทำการตลาดแบบเก่าแล้วกระจายสินค้าผมว่าไม่เวิรค์ครับ  คุณต้องให้ลูกค้าเข้าหาเเละต้องการเป็นแฟนคลับคุณให้ได้

3. คู่แข่งขัน เป็นครูที่ดีของคุณ  เรียนรู้จากเขาให้มากๆเพื่อสร้างข้อแตกต่างและจุดเด่นของเราที่เหนือคู่แข่งขัน  ในอนาคตคู่แข่งขันอาจไม่ใช่คู่เเข่งขันก็เป็นไปได้  แต่คือการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อสร้างสิ่งที่แตกต่างร่วมกัน

4. แหล่งความคิดภายในกิจการ ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการแสดงความคิดเห็นของพนักงาน การเปิดโอกาสให้พนักงานในระดับต่างๆ ได้แสดงเสนอความคิดใหม่ๆ อาจจะได้ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ทุกอย่างต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ธุรกิจ

5. แหล่งความคิดอื่นๆ เช่น งานวิจัย บทความของนักวิชาการของสถาบันศึกษา สามารถเป็นแหล่งความคิดแก่ผู้ผลิตในการผลิตสินค้าใหม่ หน่วยงานของภาครัฐที่ให้การสนับสนุนต่างๆเช่นกัน

พัฒนาการทางด้านนวัฒนกรรมใหม่ๆจะสามารถให้เราได้เปรียบคู่แข่งขันในตลาด AEC  คุณลองคิดดูนะครับหากไม่มีการปรับปรุงพัฒนาทางด้านสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่  เมื่อมีการแข็งขันสิ่งที่ทำให้เราอยุ่ได้คือ  ต้องต่อสู้กันในเรื่องสงครามราคาเป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาแน่ๆ  มาร่วมสร้างสรรค์นวัฒกรรมใหม่ๆให้โลกกันดีกว่าครับ

ทุกอย่างคือครูคุณว่าจริงไหม



คุณสังเกตไหมครับว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณมันคือการเรียนรู้  ทุกคนคือ  ครูของคุณ
ไม่ว่าจะครูคนนั้น  จะดี  หรือ ไม่  เขาก็คือครูของคุณจงขอบคุณเขา

ผมมองครูไว้ตามประเภทต่างๆ ดังนี้

1.ครูคนแรก คือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์  ท่านนี้จะคอยอบรมบ่มสอนฝึกฝนพัฒนาลักษณะนิสัยใจคอต่างๆของเรา  จากนั้นก็ทำให้เกิดการเรียนรู้เราก็ได้ความรู้ประสบการณ์และเสริมสร้างลักษณะนิสัยต่างๆ
ให้เราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและทำประโยชน์เพื่อสังคม

2.ครูคนที่สอง คือ ญาติมิตร เพื่อน คนรอบข้าง บุคคลเหล่านี้ล้วนสร้างอิทธิพลต่อความสำเร็จและต่อยอดการเรียนรู้ของคุณได้เป็นอย่างมาก  การเรียนรู้แค่ในตำราเรียนอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ  เราต้องเรียนรู้จากโลกภายนอก จากประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน นอกตำราเรียน  หมั่นฝึกฝนพัฒนาตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ

3.ครูคนที่สาม คือ ประสบการณ์  ไม่ว่าเรื่องราวในชีวิตคุณมันจะดีหรือร้าย  ผิดพลาด ล้มเหลว สิ้นหวัง ดีใจ ประสบความสำเร็จ   ทุกอย่างคือครูมันจะหล่อหลอมให้ทุกอย่างเป็นคุณ  เมื่อคุณได้เรียนรู้อะไรมากๆเข้า  เข้าใจโลก  เข้าใจผู้คน เข้าใจตัวเอง  เมื่อนั้นคุณก็สามารถเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ

ทุกอย่างพลักดันเราให้เราได้เจอกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเสมอ  ทุกคนมีดีและมีสิ่งที่ดีสุดรออยู่  ปลายทางเป้าหมายของคนในแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่ทุกคนก็สามารถเลือกเส้นทางเดินชีวิตของตัวเองได้ในแบบที่ตัวเองต้องการให้เป็น  และเป็นเราในแบบที่ดีที่สุดในจุดที่เราเป็น  พระอาทิตย์ยังขึ้นใหม่ทุกวัน เกิดเป็นคนก็ต้องมีความหวังและก้าวต่อไป


วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องง่าย เรื่องยาก



เรื่องง่าย เรื่องยากต่างกันยังไงรู้ไหม ?  วิธีคิดไง

เคยสังเกตไหมครับ  คนมีสติ  คือใช้อารมณ์เหนือเหตุผล  ผมดีใจนะที่ทุกครั้งที่มีปัญหาผมรู้สึกควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นจากเมื่อก่อน  เคล็ดลับนะเหรอครับ

ก็เพราะผมเลือกมองแต่สิ่งดีๆไง  คนเราเมื่อเจออะไรก็เเล้วแต่ ถ้าเรามองแบบคนทั่วไปเราก็จะเห็นแต่ตัวปัญหา  แต่ถ้าเรามองแบบเป็นเรื่องธรรมดาของโลกทุกอย่างก็ถูกจัดการได้เอง  จำไว้นะครับว่าแพ้หรือชนะมันไม่สำคัญหรอกเพราะสุดท้ายคุณก็ไม่ได้อะไร

มีครั้งหนึ่งนะครับคุณย่าทวดเคยสอนผมไว้เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง  ทุกวันนี้ผมรู้ได้เลยว่าคำสั่งสอนนั้นเป็นคำสอนที่ดีมาก  บางครั้งความหุนหันของผมอาจไม่สามารถบังคับตัวเองได้  แต่ผมเชื่อผมทำได้ขอบคุณย่าทวดจริงๆครับ

การศึกษาบ่มเพราะให้เรามีความรู้ความสามารถและความฉลาดทางด้านสติปัญญา  แต่เรื่องความสามารถในการควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันเอาเอง  มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมชอบมากๆเลยครับ ก็คือ อย่าไปลดคุณค่าของตัวคุณ  ถึงแม้คุณจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามแต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ  ความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้คุณสำเร็จได้  จงสู้ต่อไปนะครับ

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ลักษณะบ้านต้องห้ามในทางฮวงจุ้ย


ช่วงนี้ผมศึกษาเรื่องฮวงจุ้ย  ส่วนตัวเเล้วผมมองว่ามันเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมาก  มีหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้  และจำเป็นต้องรู้อีกหลายเรื่อง หลักในการมองฮวงจุ้ยก็ถือเป็นศิลปศาสตร์เฉพาะทางอีกแบบหนึ่ง  จำเป็นไหมตรงนี้ผมตอบไม่ได้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล  ยังไงลองไปดูลักษณะบ้านต้องห้ามในทางฮวงจุ้ยที่ผมศึกษาดูนะครับ

1. บ้านรูปสามเหลี่ยม   บ้านที่ด้านหน้ากว้างมาก ด้านหลังแคบจน มองคล้ายเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นลักษณะที่ร้ายมากในทางฮวงจุ้ย ในตำราบอกว่า บ้านนั้น จะประสบเคราะห์กรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเจ็บป่วยก็เป็นโรคร้ายที่รุนแรงจนรักษาไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องการงานก็อาจ ถึงขั้นล้มละลายได้

2. บ้านรูปมีดปังตอ  ลักษณะบ้านแบบนี้จะส่งผลร้ายในเรื่องของ อุบัติเหตุเลือดตกยางออกคดีความ การดำเนินชีวิตของคนในบ้านจะ เต็มไปด้วยความเสบียงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งห้องนอนเจ้าของบ้านอยู่ตรง คมมีดด้วยแล้ว ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงได้

3. บ้านรูปตัวแมลง  บ้านที่มองเห็นเสาลอยเต็มไปหมด ประเภท ยกพื้นใต้ถุนสูง เสาจะเปรียบเหมือนขาของแมลงในความหมายของ ฮวงจุ้ยจะบอกว่า บ้านนั้นจะประสบกับความยากลำบาก เหน็ดเหนื่อย อับโชค การดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยง ขาดความมั่นคงในชีวิต เพราะรากฐานบ้านไม่แน่นหนามันคงนั้นเอง

4. บ้านซ้อนกันหลายจั่วบ้านที่มีจั่วซ้อนกันมาก ความหมายในทางฮวงจุ้ยบอกว่า บริวารจะแข็งกร้าว ลูกหลานจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ญาติพี่น้องจะไม่ลงรอยกันบ้านจะขาดความสามัคคี สามีภรรยาจะมีปากเสียงกัน  กรณีนี้อาจจะหมายรวมถึงบ้านสองหลังที่ปลูกติดกัน แล้วหลังคาชนกันด้วย

5. บ้านรูปทรงด้านไม่เท่า บ้านที่ไม่มีด้านใดด้านหนึ่ง เท่ากันเลยทั้งสี่ด้าน ถือเป็นลักษณะประหลาด ในตำรา
ฮวงจุ้ยบอกว่า วิบัติเลยทีเดียว

6. บ้านฐานเล็กตัวบ้านใหญ่  บ้านประเภทนี้ถือว่าขาดความมั่นคง เจ้าของบ้านต้องแบกรับภาระไม่จบสิ้นมีเรื่องราวไม่หยุดหย่อน  ซึ่งเป็นผลมาจากผู้อื่นหาเรื่องมาให้ หรือไม่ตัวเองก็ไปรับภาระคนอื่นมาโดยไม่รู้ตัว
นั้นเป็นตัวอย่างของรูปทรงบ้านที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาว ช่องเค้า ตามหลักฮวงจุ้ยยังมีการพิจารณาใน
เรื่องของรูปทรงบ้านอีก ลักษณะหนึ่ง ซึ่งเอาเรื่องของทิศทางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

โดยในทางฮวงจุ้ยจะแบ่งรูปทรงของบ้านออกเป็น 5 ลักษณะ ตามธาตุทั้ง 5 คือ ธาตุน้ำ ไม้ ไฟ ดิน และทอง รูปทรงทั้ง 5 จะต้องเหมาะกับทิศทางด้วย ผมจะคัดเอารูปทรงบ้านที่ไม่ถูกกับทิศมาพูดถึงก็แล้วกันว่าลักษณะ ไหนไม่ถูกกับทิศใด

 1.บ้านทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือบ้านทรงเตี้ย 3 ชั้นเดี่ยว เป็นบ้านธาตุดิน จะห้ามอยู่ทางทิศตะวันออก หรือตะวันออกเฉียงใต้
2.บ้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือบ้านทรงสูง เป็นบ้านธาตุไม้ จะห้ามอยู่ทางทิศตะวันตก หรือตะวันตกเฉียงเหนือ
3.บ้านทรงสามเหลี่ยม หรือบ้านที่มีจั่วสามเหลี่ยม เป็นบ้านธาตุไฟจะห้ามอยู่ทางทิศเหนือ
4.บ้านทรงกลมมน หรือครึ่งวงกลม เป็นบ้านธาตุทอง จะห้ามอยู่ทางทิศใต้
5.บ้านทรงลูกคลื่น หรือบ้านที่ตกแต่งลวดลายเป็นลูกคลื่นเป็นบ้าน ธาตุน้ำจะห้ามอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทั้ง 5 ลักษณะนี้ถือเป็นบ้านต้องห้าม บ้านล้มเหลวในทางฮวงจุ้ย ทิศที่กล่าวมานี้เป็นทิศหลังบ้านนะครับ 

คิดใหญ่เข้าไว้



เมื่อวานผมไปนั่งคุยเกี่ยวกับโปรเจคตัวใหม่ของผมให้กับผู้เชี่ยวชาญและนายธนาคารฟัง  ผมว่ายุคนี้ทุกอย่างมันเป็นไปได้หมดละครับ  ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้  ที่สำคัญคือคุณต้องคิดให้ใหญ่เข้าไว้  ทำในสิ่งที่แตกต่างและโดดเด่น  เป็นสุดยอดด้านนั้น  เชื่อไหมครับทุกคนใฝ่ฝันที่จะเป็นสุดยอดกันทั้งนั้น  ธุรกิจที่ตอบโจทย์ในอนาคตคงหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้ไปได้

วันนี้ผมมีทริคแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนธุรกิจให้คุณ

1.มองให้กว้าง  สิ่งนี้จำเป็นมากครับเราต้องมองทุกอย่างจากภาพรวมในสิ่งที่คุณจะทำในแผนงานของคุณก่อน  มองให้เห็นทุกมิติให้ชัดเจน  จากนั้นค่อยลงรายละเอียด

2.การลงรายละเอียด  ต้องคิดให้ลึก คิดแบบละเอียดไปเลยครับ  เอาชนิดเห็นภาพทุกอย่างมีแผนการทำงานอย่างชัดเจน  มีการคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายแยกแบบละเอียดให้เห็นภาพแบบชัดเจน

3.ต้นทุนคงที่สำคัญ  ต้องพยายามคิดให้มากใช้เงินให้น้อย  ธุรกิจยุคใหม่ต้องแตกต่างคุณต้องคำนึงถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆให้มาก  โดยเฉพาะต้นทุนคงที่ที่สูงอาจกลายเป็นภาระให้กับเราได้ในช่วงธุรกิจขาลง  พยายามคิดหาวิธีการให้หลายๆตลบ  สร้างแผนสำรอง 1 2 3 ไว้เสมอ

4.ความพร้อม  ลงมือทำด้วยความพร้อมและไม่ประมาทบางอย่างที่เราไม่ถนัดก็ควรหาที่ปรึกษาที่เชี่ยวไปก่อน  จากนั้นค่อยๆศึกษาเรียนรู้วิธีการจากเขา

จริงๆมีอีกหลากหลายวิธีแหละครับ  ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และสภาพสังคมเศรษฐกิจและตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาขอให้คุณมีความอดทน  และตั้งใจมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ  ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ  คิดให้มากๆ เชื่อมั่นในสันชาตญาณของตัวเองและลุยไปเลยครับ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คุณนั้นแหละเป็นคนสร้างอนาคตให้ตัวคุณเอง



ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่  ให้คุณตระหนักไว้เลยครับว่าไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกนอกจากตัวคุณเองเท่านั้น  ลองนึกทบทวนช่วงชีวิตที่ผ่านมาของคุณว่าคุณได้ทำอะไรลงไปบ้างเท่านี้ก็พอจะรู้ได้แล้วครับว่าอนาคตคุณจะเป็นยังไง

อดีต ส่งผลถึงปัจจุบันถ้าคุณอยากเปลี่ยน อนาคต คุณต้องเปลี่ยนปัจจุบันของคุณครับ  ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้มาเพราะโชคหรอก  ทุกอย่างอยู่ที่การเตรียมตัวของคุณทั้งนั้น  เมื่อคุณพร้อมทุกอย่างจะปรากฎต่อคุณเอง  โลกนี้มีไว้สำหรับคนที่พร้อมเท่านั้น  พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและสร้างอนาคตของตัวเองแล้วหรือยัง

ทุกอย่าง ทุกการกระทำของคุณมันบอกอนาคตคุณไปในตัวอยู่แล้ว  ประโยคเดียวเลยที่ผมได้ยินมาจากหลายท่านที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ล้มเหลวได้แต่ผู้ชนะจะไม่มีวันล้มเลิกเด็ดขาด" ขอให้อดทน พากเพียรพยายามอีกสักนิด ธรรมชาติของใจเมื่อเราฝึกฝนเยอะๆก็จะได้รับเกราะคุ้มกันอะไรบางอย่าง  บางอย่างที่เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะเอามันออกมาใช้ได้เมื่อไร  แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเกราะนี้พร้อมที่จะปกป้องเราได้เสมอ

เราฟังคนอื่นมามากมายเเล้ว  ทั้งพ่อแม่ ครู บาอาจารย์ เพื่อน และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ  ลองฟังเสียงเรียกร้องของใจตัวเองดูสักครั้งนะครับ  เสียงที่มาจากข้างในจะคอยเตือน คอยบอกคุณเองว่า แท้จริงแล้วคุณเกิดมาทำอะไร  และทำเพื่อใคร  ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่และวันดีๆของคุณนะครับ

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เราเรียนรู้อะไรจากใบชา



วันก่อนผมไปเที่ยวไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย  ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวผมนะมันวิเศษมากเลย  กับการที่ได้ใช้ชีวิตในอีกมุมหนึ่ง เอาละครับเข้าเรื่องกันดีกว่าวันนี้ผมขอเสนอเรื่องราวขอชา

ชา เป็นผลผลิตทางการเกษตรกรรมจากใบ ยอดอ่อน และก้านของต้นชา นำมาผ่านกรรมวิธีแปรรูปหลากหลาย "ชา" ยังหมายความรวมถึงเครื่องดื่มกลิ่นหอมที่ทำจากพืชตากแห้งชนิดต่าง ๆ นำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อน ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีผู้บริโภคมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากน้ำ

หากเราจะมองกันในยุคปัจจุบันชากำลังเป็นที่นิยมมากในยุคนี้  ดูได้จากสงครามการตลาดของชาเขียวที่มีการจัดแคปเปญเเข่งขันกันอย่างรุ่นแรงเลยทีเดียว คำถามคือ  คุณได้เรียนรู้อะไรจากใบชาผมมองว่าธุรกิจนี้นอกจากจะสร้างรายได้ในจำนวนที่สูงแล้วยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  และวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างลงตัวทีเดียว

ผมเชื่อคนที่เคยไปเที่ยวไร่ชาที่นี้แล้วได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมานั้นล้วนต้องอาศัยระยะเวลาและความชำนาญในด้านนั้นๆ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอาศัยการฝึกฝนพัฒนาตัวเองตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายและจิตใจที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญให้บุคคลๆนั้นประสบความสำเร็จได้  ในอนาคตนอกจากธุรกิจชายังมีธุรกิจอื่นๆอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในรุปแบบไร่ชาฉุยฟงนี้  คอยติดตามดูนะครับ

อย่าฝากความสุขไว้ที่ใครเลย



สองสามวันมานี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดเลยครับ  ได้ทำอะไรในแบบที่ตัวเองต้องการอย่างมีอิสระ  ชีวิตอิสระมันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ  หลายคนพยายามตามหาความสุขจากสถานที่ต่างๆ  แท้จริงแล้วความสุขอยู่ที่ใจครับ

ถ้าใจเราดีอยู่ที่ไหนเราก็มีความสุข  ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วครับว่าคุณนิยามความสุขของตัวคุณไว้ที่ไหน

บางคนฝากความสุขไว้ที่   ครอบครัว
บางคนฝากความสุขไว้ที่   คนรัก
บางคนฝากความสุขไว้ที่   เพื่อน
บางคนฝากความสุขไว้ที่   ชื่อเสียง เงินทอง ความมั่งคั่งร่ำรวย

ไม่ผิดนะครับ  เราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าในใจเราต้องการอะไร  เมื่อทราบความต้องการที่แท้จริงแล้วจะได้กำหนดแนวทางหรือเป้าหมายต่อไปได้  องค์ประกอบเหล่านี้เป็นแค่ปัจจัยภายนอกเท่านั้น  สิ่งที่จะทำให้ชีวิตคุณสมบูรณ์แบบมากที่สุดคือ "ภายในใจของเรา" ต่างหาก

ลองหยุดกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่างที่รบกวนจิตใจคุณ  แล้วปล่อยใจให้ว่างฟังเสียงความคิดของคุณว่าอะไรกันแน่ที่ชักนำคุณไว้  เมื่อคุณรู้แล้วคุณจะได้ไปได้ถูกทาง  ชะตาชีวิตของคนอยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนดฟ้ามิอาจห้ามให้คุณทำสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้  คุณเลือกชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้

เมื่อคุณเห็นความสุขที่อยู่รอบตัว  ทุกสิ่งจะปรากฎต่อหน้าคุณเรื่องร้ายๆหรือเรื่องที่ทำให้คุณทุกใจหนักหนาแท้ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรเลยหากเป็นแค่ความคิดที่เป็นตัวกำหนด  ขอให้วันนี้เป็นวันดีสำหรับทุกคนครับ

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...