กิจกรรมยามว่างของคนกรุง ก็คือ การตะเวนทำบุญตามสถานที่ต่างๆ ยิ่งในสังคมปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์เรามาก โดยเฉพาะ Facebook เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรทุกคนจะแชร์กันสนั่น โดยลืมไปแล้วว่าโลกส่วนตัวคืออะไร วันนี้ผมจะขอพูดในเรื่องของการทำบุญแล้วกันครับ เวลาไปทำบุญสังคมยุคใหม่ก็จะชอบโพสข้อความต่างๆนาๆ
สิ่งที่ผมอยากจะสะท้อนให้คุณๆ ท่านๆ ได้เห็นกันก็คือ เราใช้เงินในการแก้ปัญหาหรือที่เรียกว่า "ความทุกข์ของคนเมือง" ถ้ามองกันโดยเนื้อแท้ความทุกข์อยู่ที่ใจ พอมีความทุกข์สังคมเมืองมักชอบวิ่งเข้าหาวัด ไปทำบุญบ้างละฟังเทศน์บ้างละ หรือก็ที่ฮิตสุดตอนนี้ก็ไปปฎิบัติครับ ไม่ผิดนะครับแต่
หากลองคิดกันให้ดีๆ
ไปทำบุญเพื่อให้ตัวเองสบายใจแท้จริงแล้ว คือการแก้ปัญหาด้วยเงิน ใช่ครับก็ทำให้เราสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ปัญหาไม่ได้หมดไป เปรียบเสมือนหินทับหญ้า สุดท้ายก็กลับสู่วงจรเดิม
การนั่งสมาธิ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีครับ เป็นการฝึกสติได้ดีทีเดียว ยุคใหม่ที่ฮิตสุดๆตอนนี้ก็คือ คอร์สการปฎิบัติธรรมผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปปฎิบัติธรรมไม่น้อยมีความทุกข์ทางใจ โดยหวังว่าการปฎิบัติธรรมจะทำให้จิตใจสงบแต่สุดท้าย ก็ไม่ต่างอะไรกับหินทับหญ้า สุดท้ายก็กลับสู่วงจรเดิม
ที่ผมต้องการสื่อให้เห็นผมอยากให้ทุกท่านมองมาที่ตัวทุกข์จริงๆ แล้วแก้ไขปัญหาด้วยการรับรู้ตามความเป็นจริง เข้าใจต่อสิ่งที่มากระทบในชีวิต ยอมรับความเป็นจริงและมองชีวิตแบบปล่อยวาง การทำบุญมีมากมายหลายแบบ เช่น การให้ความรู้ การให้สติ การสอนหลักธรรมมะในการดำเนินชีวิต การฟังธรรมมะ ฯลฯ สังคมยุคใหม่มักจะโฟกัสที่การให้สิ่งของทรัพย์สินเงินทอง ไม่ผิดนะครับ แต่การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือ ให้อภัย เป็นสุดยอดทานที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ เมื่อจิตใจที่มีแต่ความเมตตากรุณา รู้จักให้อภัยกับทุกอย่าง ไม่ต้องไปพึ่งสิ่งศักดิ์ใดๆเลย ความสุขจะปรากฎอยู่ตรงหน้าให้เห็นกันเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น