วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วินัยในตัวเอง




            เชื่อไหมครับว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จพื้นฐานก็คือการสร้างวินัยให้กับตัวเองนั้นแหละครับ  วินัย ก็คือ ความมีระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา การใช้วินัยถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก วินัยในที่นี้อาจจะหมายถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ด้วยก็ได้ครับ เช่น

1.ฉันจะมีเงินเก็บ 300,000 บาท ภายในระยะเวลา 1 ปี
2.ฉันจะอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองทุกวัน
3.ฉันจะเรียนรู้ศึกษาภาษาอังกฤษทุกวัน

         เหล่านี้นะครับล้วนต้องอาศัยวินัยในการปฏิบัติทั้งนั้น  ฝึกฝนตัวเองตั้งแต่วันนี้นะครับ ไม่ต้องไปกังวล ลังเลหรือสงสัยในสิ่งเหล่านี้ เพราะการที่บุคคลทำอะไรที่สม่ำเสมอย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ครับ จำไว้เลยว่า "กำแพงเมืองจีน ไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว"

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นาฬิกาชีวิตกับเป้าหมายชีวิต

         

              สวัสดีเช้าวันเสาร์ เชื่อว่าหลายท่านก็คงยังอยู่บนที่นอนกันอยู่ วันนี้ผมจะมาขอพูดถึงเรื่องของนาฬิกาของชีวิตกับเป้าหมายกันนะครับ
         นาฬิกาชีวิตกับเป้าหมายชีวิตเป็นสิ่งที่ทำควบคู่กันได้
                 1.ช่วงอายุ 0-20  เป้าหมายเรา  คือ  เรียนหนังสือ
                 2.ช่วงอายุ 20-40 เป้าหมายเรา คือ .......................
                 3.ช่วงอายุ 40-60 เป้าหมายเรา คือ ........................
                 4.ช่วงอายุ 60-80 เป้าหมายเรา คือ ........................

            เห็นไหมครับว่าช่วงชีวิตของคนเราดูจริงเเล้วก็มีแค่ 4 ช่วงเท่านั้นเอง  ฉะนั้นเราต้องหมั่นสำรวจตัวเองแล้วว่าเราอยู่จุดไหน  และจะไปตรงจุดไหน  อย่างเช่น คนอายุ 40 ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้วควรตรวจสอบชีวิตแล้วว่าตัวเองมีอะไรแล้วบ้าง และควรจะเพิ่มหรือปรับปรุงอะไรให้ชีวิตในช่วงครึ่งหลังเพิ่มเติม  ชีวิตคนเราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะถูกหรือผิดก็ขึ้นอยู่กับการเลือกเรารู้จัก"กฎและกติกาของชีวิต" มากน้อยขนาดไหน เอาเข้าจริงชีวิตเราก็มีกฎอยู่ 2 ข้อแหละครับ
                 1.ถ้าคุณทำถูกกติกา  คุณก็ประสบความสำเร็จ
                 2.ถ้าคุณทำผิดกติกา  คุณก็ไม่ประสบความสำเร็จ
          คนที่เข้าใจสัจธรรมของชีวิต มองโลกด้วยตาใน ไม่ว่าจะเป็น การกระทำ ความคิด หรือคำพูด แม้แต่กระทั่งการดำเนินชีวิต  "Focus" ให้ถูกจุดสนใจเรื่องของตัวเองรับผิดชอบตัวเอง รู้ในสิ่งที่ควรรู้ ทำตามแบบแผน รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร  จากนั้นก็ลงมือทำตามเขา มุ่งมั่น + ความสามารถ +ความพยายาม ผมเชื่อว่า ทำอะไรผลลัพธ์ย่อมได้อย่างนั้นครับ
        หากเราเข้าถึง "สัจธรรม" และความเป็น "ธรรมชาติ" ของโลก เราก็จะเข้าใจถึงความสำเร็จ ว่าจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง?  ส่วนตัวผมว่าสิ่งที่ต้องมีคือ
= ต่อสู้ + อดทน +เชื่อมั่น +ซื่อสัตย์ + ขยัน +มุมานะ + พยายาม + สร้างสรรค์ +กล้าคิด +กล้าทำ +รอบคอบ +อื่นๆ อีกมากมายที่เราจำเป็นต้องมีในการที่จะได้รับ "ความสำเร็จ"

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เป้าหมายกับความสุข

         



          วันนี้ผมอยากจะมาพูดต่อยอดเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดเป้าหมายกันนะครับ  หลายคนคิดว่าเป้าหมายที่เราการจะต้องเป็นเป้าหมายที่เราต้องมีความสุข ซึ่งในความเป็นจริงเเล้วมันสวนทางกันนะครับ
           เป้าหมาย หมายถึง  สิ่งที่เราต้องการและเราได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า  ซึ่งในความเป็นจริงเราก็ไม่อาจกำหนดชัดเจนได้ว่าจะทำได้ตามที่ตั้งไว้เมื่อไหร่ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความฝันของเรานั้นเอง สิ่งที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือ "การลงมือทำ การวิ่งตามความฝันของเรา ความฝันหรือเป้าหมายนั้นถึงจะเป็นจริง
          ความสุข หมายถึง สิ่งที่เราจะต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม  ความสุขไม่ใช่การวิ่งไปตามหาแล้วเราจะเจอ  ความสุขอยู่ที่ตรงนี้  นั่นก็คือ การมีสติรู้อยู่ทุกขณะจิตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มีความรู้สึกอย่างไรในขณะนั้นๆ ต่างหาก
         เห็นไหมครับว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน  แต่สามารถปรับให้มาเป็นเรื่อง  เดียวกันได้ นั่นคือ มีความสุขอยู่ทุกขณะเวลาทุกสิ่งรอบตัวให้มีความสุขตลอด มองโลก คิด ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ แล้วก็จะเป็นไปตามที่เราต้องการเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การแบ่งประเภทลำดับความสำคัญ


       
               
          สวัสดีครับท่านผู้อ่าน  เป็นยังไงกันบ้างครับ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ หลายคนอาจเป็นหวัดแล้วก็ได้  ยังไงก็พยายามควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอนะครับ  เมื่อร่างกายของเราดี จิตใจของเราก็จะดีตามไปด้วย  เอาละครับ เรามาพูดเรื่อง ลักษณะของหัวใจกันเลยนะครับ หัวใจของเรานี้ประกอบไปด้วย 4 ห้อง โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้

       1.สำคัญ        -   ไม่ด่วน
       2.สำคัญ        -    ด่วน
       3.ไม่สำคัญ    -   ไม่ด่วน
       4.ไม่สำคัญ    -    ด่วน

         จริงๆแล้วคนเราก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า 4 ประเภทนี้เลย  ฉะนั้นผมอยากให้ทุกท่านลองหลับตานึก ค่อยๆนึกไป  แล้วจำแนก เรื่องราวต่างๆ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของท่านแล้วจะพบว่ามันไม่ได้ยากเลยใช่ไหมครับ  ยังไงเดี๋ยวผมขอยกตัวอย่างให้แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่น

       1.สำคัญ - ไม่ด่วน  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องทำแต่ไม่ต้องเร่งรีบก็ได้ เช่น การวางแผนอนาคต เงินเก็บ การสร้างรายได้ Passive Income เป็นต้น
       2.สำคัญ - ด่วน  เช่น การทำงานต่างๆ การใช้เวลากับครอบครัว การพัฒนาตัวเองเรียนรู้สึ่งใหม่
       3.ไม่สำคัญ - ไม่ด่วน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต เฟสบุ๊ค
       4.ไม่สำคัญ - ด่วน  เช่น นัดคุยกับเพื่อน เที่ยวสนุกสนาน คุยเรื่องไร้สาระ

          เห็นไหมละครับว่า  จริงแล้วเราควร (Focus) ไปที่ 2 ข้อแรก  ส่วน 2 ข้อหลังไม่ทำก็ไม่ได้กระทบกระเทือนต่อการดำเนินชีวิตของเราเลย  เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จัดการกับชีวิตของท่านได้เลยนะครับ  เริ่มจากการลงทำเดี๋ยวนี้เลย  อย่าไปเครียดหรือคาดหวังกับผลลัพธ์มากเกินไป  ทำอย่างมีความสุข แล้วสิ่งดีดีจะวิ่งเข้ามาหาท่านเองครับ

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กำหนดเป้าผิด ชีวิตอาจดิ่งลงเหว



                 เทพเจ้าแห่งปัญญา                                            เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง

             เมื่อวานผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อเรื่อง "เข็มทิศชีวิต" ของคุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุง ใจความหนังสือมีอยู่ตอนหนึ่งที่เจ้าของหนังสือเอามาเล่าเป็นนิทาน เกี่ยวกับเรื่อง ชายหนุ่มคนหนึ่ง  เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยอินเดียโบราณมีชายหนุ่มคนหนึ่ง  เขาได้เข้าไปถามอาจารย์ของเขาว่า ผมต้องการความมั่งคั่งเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด  ทางฝั่งอาจารย์ก็ตอบว่า ศิษย์เอ๋ย ในตัวคนเรานี้มีเทพเจ้าอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งคือ  เทพเจ้าแห่งปัญญา  อีกองค์หนึ่งคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ทุกคนจะรักเทพเจ้าทั้งสององค์นี้มาก  แต่ความลับก็คือ เจ้าจงดูแลเทพเจ้าแห่งปัญญา รักเทิดทูล ดูแล และใช้ความพยายามในการดูแลท่าน เมื่อเจ้าดูแลเทพเจ้าแห่งปัญญาอย่างดีที่สุด เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งก็จะอิจฉาและพยายามมุ่งความสนใจมาที่เจ้า ดูแล ติดตามเจ้าไปทุกหน ทุกแห่ง เมื่อนั้นความมั่งคั่งที่เจ้าปรารถนาก็จะเป็นของเจ้าตลอดไป
   
             ที่ผมพูดถึงนิทานเล่มนี้ก็เพราะว่าต้องการจะเตือนสติใครหลายคน  ที่คิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือเงิน  จริงๆแล้วการมีเงินเยอะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาชีวิตเราได้  สิ่งที่สามารถแก้ปัญหาชีวิตเราได้นั่นก็คือ ปัญญา  ในที่นี้อาจหมายถึง ความรู้ผิดชอบ ชั่วดี การมีสติ การปล่อยวาง รวมไปถึงการใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต  เห็นไหมว่าสิ่งที่สำคัญกว่าเงินก็คือ ปัญญา  บุคคลถ้ามีซึ่งปัญญาก็จะสามารถที่จะพัฒนาตัวเองและนำพาตัวเองจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้  ชีวิตผู้คนมากมายต่างวิ่งเข้าหาความมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งก็ไม่ผิด  แต่เมื่อคุณได้สิ่งนั้นมา  แทนที่จะมีความสุข กลับกลายเป็นความทุกข์แทน ทุกข์เพราะกลัวว่ามันจะหายจากเราไป ทุกข์เพราะว่าต้องวุ่นวายไม่หยุดในการหาสิ่งต่างๆเข้ามาเติมเต็มในชีวิตของเรา  ชีวิตของคนเราสุดท้ายก็ต้องเดินจากไปเหมือนวันแรกที่เรามาตัวเปล่า ฉะนั้นขอให้คิดด้วยสติว่าคุณจะกำหนดเป้าหมายอย่างไรให้ถูกวิธีและนำคุณไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างแท้จริง ผมขอให้ทุกคนโชคดีครับ

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การรักษาระดับจิตใจด้วย "สมาธิ"




               อรุณสวัสดิ์เช้าวันอังคารที่แสนสดใสครับ  วันนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้วยังไงก็รักษาสุขภาพกายใจด้วยนะครับ  วันนี้ผมอยากจะมีพูดถึงการรักษาระดับจิตใจเราให้สม่ำเสมอ  ด้วยวิธีที่เรียกว่าการทำ"สมาธิ"  วิธีนี้อย่างที่ทราบกันดีนะครับ มันมีมากว่า 2,600 ปีมาแล้ว ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ทรงตรัสรู้  และได้สั่งสอนสัตว์โลกกัน   ชีวิตคนเราสุดท้ายก็แค่ตายนะครับ  ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะสุข หรือทุกข์ หนักใจเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องหนี้สิน หรือเรื่องครอบครัว คนรัก สิ่งเหล่านี้ก็แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนะครับ  จงรู้จักแบ่งแยกคัดสรรเวลา ปล่อยวางพยายามฝึกฝนพัฒนาระดับจิตใจให้สูงขึ้น  ผมว่าจำเป็นมากนะครับ  เมื่อคนเราไปถึงจุดหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำก็ตาม ความทุกข์จะตามมาด้วยเสมอ  สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องเตรียมตัว เตรียมใจรับมือกับมัน  หากบุคคลซึ่งหมั่นฝึกฝนพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเมื่อประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมสามารถที่จะรับมือ และฝ่าฟันกับปัญหาอุปสรรค์ต่างๆ นานาได้ โดยไม่ติดขัด  ขอให้เชื่อเถอะครับว่าการทำความดี ทำสิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกต้อง การนั่งสมาธิ เหล่านี้ ล้วนพัฒนาให้เราไปอีกจุดหนึ่ง  ชีวิตคนเรามันสั้นมากครับ  สิ่งที่อยากได้ในชีวิตสุดท้ายเราก็ต้องคืนให้กับโลก แต่สิ่งที่จะติดตัวเราไปได้คือ "ความดี" สิ่งนี้ต่างหากที่ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนปรารถนากันทั้งนั้น  วันนี้ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กฏของแบรนสัน

         


             เมื่อวานผมไปนั่งฟังสัมมนาของ Stock 2 morrow ชั้น 17 สีลมคอมเพล็กซ์  ซึ่งทาง Stock 2 morrow เขาได้จัดขึ้น งานนี้มีการประมูลของด้วยนะครับ เรียกว่าขายของด้วยได้ทำบุญไปด้วยนะครับ  เมื่อวานนี้ตอน 16.30 ช่วงของพี่บอย  พิสูจน์ ได้พูดเรื่อง 3 ข้อสำคัญที่สุดในชีวิตนะครับ  เรียกว่าเป็นเคล็ดลับของพี่เขาก็ได้มาแชร์ให้ฟัง ลองฟังกันดูนะครับ
            1.หาเงินให้เก่ง
            2.เก็บเงินให้อยู่
            3.หาช่องทางการลงทุน
            ครับนี่แหละเป็นเคล็ดลับที่พี่บอยได้ให้ไว้  ทีนี้เราลองมาดูข้อแรกซึ่งสำคัญมากครับ ที่จะให้เราเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ครับ ซึ่งเป็น 7 วิธีที่จะทำให้เรามีรายได้มากกว่าคน 90 % ที่เหลือครับ ลองฟังดูนะครับ   เป็นเคล็ดลับของ ซอร์ ริชาร์ด ชาร์ลส นิโคลาส แบรนสัน หรือ ริชาร์ด แบรนสัน ผมเรียกมันว่า "กฏของแบรนสัน"             1.เห็น "คุณค่า" ของตัวเองก่อน

             - ถามตัวเองว่าคุณคำนวณค่าตัวคุณ ชั่วโมงละเท่าไหร่
             - หลังจากนั้นให้ตั้งคำถามว่าคุณคู่ควรกับค่าตัวนั้นไหม
             - จากนั้นก็ต้องเริ่มสร้างแบร์น สร้าง "คุณค่า" ให้กับสิ่งที่คู่ควรกับเรา ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น เลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
             2. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณมีรายได้น้อย
              - โลกนี้ไม่มีของแพง โลกนี้ไม่มีคนมีรายได้น้อย มีแต่ความสามารถน้อยเกินไป
              - เราต้องเลิกโทษคนอื่น  แล้วเข้ารับผิดชอบตัวเอง
              - ถ้าความสามารถเยอะให้ลาออกไปเลย
              - เราต้องหมั่นเติมความรู้ให้ตัวเอง  การหาความรู้ หาได้จาก Youtube,google,สัมนานาต่างๆ
              3. ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
                คุณเอาเวลาว่างไปทำอะไร (หลังเลิกงาน)
               อย่างของผมคือ
                   - กฎหมายภาษี - ความรู้เรื่องการลงทุน - หนังสือพัฒนาตัวเอง
               - รู้จักแบ่งเวลาจัดสรรเวลา - ฝึกทักษะการเป็นเจ้านายกับตัวเอง - เรียนรู้ภาษาอังกฤษ
              4.ต้องทำงานที่คุณรัก เก่ง และมีความสุขไปด้วย
              -  ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา การที่คนเราทำในสิ่งที่รัก จะทำให้เราอดทน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีคนชอบ สิ่งที่เรา รัก เก่ง และต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน จำไว้ว่าหากไม่เกี่ยวกับเขาเขาจะไม่สนใจ
              5.เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
              -  เลือกคบเพื่อน เปลี่ยนรสนิยม เรื่องคุย ที่อยู่
              - ใช้เวลากับคนใหม่ๆ  คุณเรื่องอนาคต เรื่องการลงทุน
     จำไว้ว่า  คนส่วนน้อย คุยเรื่อง ไอเดียใหม่ๆ คำพูด "แพท ภาวิวิทย์ กลิ่นประทุม"
              6. ทำอะไรใหม่ๆ
             - คนเราควรหัดทำอะไรใหม่ๆ บ้าง เพราะการทำอะไรใหม่ ๆ อาจนำมาซึ่งความสำเร็จหรือความชอบที่ยิ่งใหญ่ได้
               7. ตั้งเป้า Top 10 ของสายอาชีพที่คุณทำ
             ตอนนี้เรายังไม่เจอไม่เป็นไร แต่เจอแล้วเราควรตั้งเป้าหมายของเราให้เป็น Top 10 ให้ได้ ที่สำคุญือ ต้อง รัก ชอบ เก่ง ตั้งเป้าไว้เลยว่า ฉันต้องไปอยู่ตรงนั้นบ้าง  "บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด งานดีๆ เงินดีๆ ไม่มีคนแย่ง"
             ทักษะที่ตามมาคือ เมื่อคุณมีความสามารถคุณต้องรู้จักวิธีเลือกงานเพราะงานจะเข้ามาเยอะมาก จำไว้ว่าคนที่งานยุ่งๆ จะทำได้ดีเสมอ คนเก่งๆทุกคนพร้อมจะบอกเคล็ดลับเสมอและทำตามวิธีของเรา

                    มนุษย์เงินเดือน ------------ นักลงทุน--------------------นักธุรกิจ/วิทยากร

                      "วิธีการเปลี่ยนได้  อย่าเปลี่ยนเป้าหมาย ที่สำคัญ เป้าหมายต้องวัดผลได้"

           "ความกลัวมันตัวใหญ่ เมื่ออยู่ในความคิด  ความกลัวมันตัวนิด เมื่อหยุดคิดและลงมือทำ"

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กฎแห่งแรงดึงดูด





             พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์  หรือการคิดบวก มีพลังอำนาจบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น  เมื่อคนเราคิดดี พูดดี ทำดี  เราก็จะเจอแต่สิ่งที่ดีดีวิ่งเข้ามา  พลังอำนาจบางอย่างมักจะดึงดูดเอาแต่สิ่งที่ดีดี  วิ่งเข้ามาหาเรา  ผมอยากจะบอกว่า  บางครั้งคนเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก  ก็ให้อดทนไว้ ความสงบนิ่งจะนำมาซึ่งความสำเร็จและสิ่งที่เรียกว่าโอกาสหรือแสงสว่างเข้ามาเสมอ  ขอให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมั่นใจในความดีงามที่เราได้ตั้งใจเอาไว้  ชีวิตเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็จริง  แต่ชีวิตก็คือชีวิต ย่อมต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ  ทางข้างหน้าอาจมีสะดุดบ้างนั้นก็เพราะเป็นสัญญานเตือนบางอย่างว่าเรากำลังจะก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกขั้นหนึ่งนั้นเอง
             วันพรุ่งนี้ผมมีไปนั่งฟังสัมมนา เรื่อง Make the different หากได้ความคืบหน้ายังไงผมจะเอามาแชร์ให้เพื่อนๆฟังนะครับ  เพื่อใช้ในการต่อยอดไปในตัวด้วย  ใครที่กำลังสับสน ท้อแท้ หมดกำลังใจ  ของให้คิดซะว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปและต่อจากนี้ไปจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาอย่างแน่นอนขอให้มั่นใจอย่างนั้นนะครับ

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Make THE Difference



           บางครั้งชีวิตคนเราควรมองหาอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง  ชีวิตก็เหมือนละครฉากหนึ่งอาจมีเรื่องตลกขบขัน  ตื่นเต้น ท้อแท้ หมดกำลังใจบ้าง แต่ชีวิตก็คือชีวิต มีสิ่งหนึ่งคือ ผมเชื่อว่าเรากำหนดชีวิตและออกแบบชีวิตเราได้  นั่นก็คือ  การคิดต่าง  การคิดต่างไม่ได้หมายความทำในสิ่งที่แปลกไปแต่หมายถึงการทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ สร้างความโดดเด่นให้กับตัวเราเอง  บางช่วงชีวิตของคนเรา  อาจอาจมีท้อบาง กังวลบ้างเป็นเรื่องธรรมดา  เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้ขอให้เราคิดในทางบวกเข้าไว้   แล้วพลังงานแห่งความคิดสร้างสรรค์จะนำมาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่  ถนนสายนี้ยังมีทางเดินไปอีกมากมาย  วันก่อนได้ดูนิทานพระราชนิพนธ์  เรื่อง พระมหาชนก  มีประโยคหนึ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมาก   ที่พระมหาชนก กล่าวว่า  ถ้าคนเราไม่รู้ซึ่งจุดมุ่งหมายของสิ่งนั้น  ก็จะมองเห็นแต่ความเกียจคร้าน  เพราะไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม  ทุกวันนี้เหมือนเราตื่นขึ้นมารู้สึกว่าเราตื่นมาทำไม  นั่งแหละก็เป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าเรามีสิ่งที่จะต้องทำนะ   ตื่นมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับโลกกับความสำเร็จให้ตัวเอง และทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน


             ความเชื่อและทัศนคติเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงกันได้ยากจริงๆ เมื่อวานผมได้มีโอกาสไปนั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง  เรากำลังพูดถึงบุคคลที่ 3 ที่มีรายได้มากกว่าเราหลายเท่า  ซึ่งนั้น  ผมก็มองว่าเพราะความเตรียมพร้อมของเขาและโอกาสที่เขาได้รับด้วยเป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จ  แต่ก็ผิดคาดเพื่อนคนนี้กลับคิดว่าเพราะเขาเก่งกว่าเราความสามารถไม่เท่าเขา  เรื่องนี้ก็เลยเป็นเหตุให้คุยกันยาวเลย  ผมรู้ว่าผมเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้หรอก  เพราะความคิดเขามันไปทำลายความเชื่อมั่นในตัวเขาไปแล้ว  ใครจะคิดยังไงก็ช่างเขานะครับ  ที่สำคัญผมยังยืนยันคำเดิมคือ  อย่าดูถูกตัวเอง  การที่บุคคลคนหนึ่งเห็นซึ่งคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้วันนี้เราอาจยังไปไม่ถึงเป้าประสงค์ที่เราต้องการ  แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเราย่อมไปถึงได้อย่างแน่นอน หากเราไม่ทิ้งความฝัน และเป้าหมายของตัวเอง  ทางข้างหน้ามีอุปสรรค์มากมาย มีเหนื่อยบ้าง  ท้อแท้ในบางครั้งแต่อย่าเพิ่งท้อถอยนะครับ  ปลายอุโมงค์ข้างหน้าต้องมีแสงสว่างเสมอ  เวลาเจอคนที่มีความคิดลบสิ่งที่เราต้องทำคือ

1.หยุดเอามาเป็นความคิดของเรานั้นเป็นความคิดของเขา
2.พยายามรักษาความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งแต่อย่าให้มากกว่านี้
3.อย่าไปสนใจ มุ่งทำให้เกิดผลลัพธ์ขึ้น ให้เขาเห็นว่าเราทำได้จริงๆ
4.พยายามหาข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ความเชื่อของเราเพื่อให้เราเดินไปอย่างถูกต้อง


              การที่เรามีความคิดติดลบในใจ เราก็ไม่ต้องให้ความสนใจ ไม่ต้องพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลความคิด ไม่ต้องพยายามต่อสู้กับความคิดที่ติดลบ เพราะการทำอย่างนั้น เท่ากับเราเติมพลังด้านลบให้มากขึ้น ทางที่ดี ขอให้เราคิดแง่บวกไว้ให้มากๆ ได้แก่ มองคนในแง่ดี ทั้งมองตนเองและผู้อื่น มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าต้องมีแง่บวกที่เราอาจมองข้ามไป ชื่นชมในความดีของผู้อื่น มองหาข้อดีของเขาให้มาก ๆ กล่าวชมคนให้เป็น ฝึกขอบคุณในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับเรา

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อย่าทิ้งความฝันของตัวเอง

         


                  วันก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับรุ่นพี่ที่รู้จักท่านหนึ่ง  ซึ่งคำพูดของเขามันกระตุ้นความรู้สึกของผมเป็นอย่างมาก  เขาพูดว่า  "คนเราต้องทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงก่อน"  เรื่องนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  บุคคลที่มีความฝันทุกคนย่อมเข้าใจความรู้สึกนี้เหมือนผม  พี่เขาเล่าให้ฟังว่าเขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัด  ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาจากจังหวัดสุรินทร์ ครับ  เพื่อนเขาคนนี้ก่อนหน้าก็เหมือนคนทั่วไปคือหลังจากเรียนจบก็เข้าโหมดของการทำงาน  เขาได้สอบเข้ารับราชการและได้เป็นข้าราชสมความตั้งใจตามแบบฉบับของบุคคลอื่นในสังคมปัจจุบันที่มองว่าอาชีพนี้มั่นคง  แต่แล้วกลับไม่เป็นไปอย่างที่ฝัน  ความกระหายในความสำเร็จ และความรู้สึกที่ว่าตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออกจากการเป็นข้าราชการและมุ่งหน้าทำความฝันของตัวเอง  นั่นก็คือ  การท่องเที่ยวและใช้ชีวิตในต่างประเทศ  ถามว่าเด็กต่างจังหวัด ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายจะทำยังไงให้ฝันเป็นจริงละครับ  เขาก็ตัดสินใจเรียนรู้เพิ่มเติมนั้นก็คือการอ่าน  เรียนรู้ และศึกษาทางด้านภาษาอังกฤษให้มากขึ้น  เพื่อใช้ในการพัฒนาตัวเอง  หลังจากนั้นก็ไปสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ตามที่ใจปรารถนา  ถึงแม้วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป  เขารู้สึกภูมิใจที่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง  แล้วคุณละครับ  คิดว่า "ความฝันของคุณหรืออะไรกันแน่ที่ชีวิตของคุณต้องการมันจริงๆ"  ผมเขียนมาถึงตรงนี้ก็อดนึกไม่ได้ว่าจริงซินะ  บางครั้งเรามักจะวิ่งตามคนอื่น  ปรารถนาความรัก ความต้องการ และความคาดหวังจากผู้อื่นมากเกินไป  จนเราลืมตัวตนที่แท้จริงของเราไป  เมื่อเวลาผ่านไปก็มานั่งนึกเสียดายที่ไม่ได้ทำตามความต้องการและความฝันของตัวเอง  
                  วันนี้ยังไม่สายเกินไปนะครับ  สิ่งที่สำคัญกว่าเงินก็คือเวลาที่ใช้ในการหาเงินใช้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงานต่างหาก  ฝึกเรียนรู้ พัฒนานาตัวเองหาเวลาว่างทำงานอดิเรกหรือค้นหาตามความต้องการของเราจริงๆและลงมือทำมันทันที  ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เกิดจากการลงมือทำมันครับ  เชื่อเถอะว่าจะมีกระเเสจากคนรอบข้างหรือหลายคนกระหนำมาเพื่อให้คนอย่างเรารู้สึกท้อแท้  สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ  ยืนหยัดและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราได้ทำมันอย่าไปฟังเสียงของคนอื่นให้ทำตามใจของเราเอง  บางครั้งการหยุดทบทวนเข้าไปในจิตใจของตัวเอง  จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้นกว่าการวิ่งไปหาสิ่งภายนอกที่สร้างความวุ่นวายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   สิ่งสำคัญก่อนทิ้งทายกันครับ  คือ วินัย เท่านั้นที่จะทำให้คุณไปถึงสิ่งที่คุณหวังได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เป้าหมายในอีก 1 ปี






                ผ่านวันพ่อปีนี้ไปอีกปีแล้วนะครับ  รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วจริงๆครับ  เห็นไหมครับว่าเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆเลย  คนเราต่อให้มีเงินทองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะซื้อเวลาที่ผ่านไปได้  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่คุณคือเราต้องรู้จักการบริหารเวลาให้ดี ใน 1 ปี มี 365 วัน ใน 8,760 ชั่วโมง คุณใช้เวลาไปกับการทำอะไรเพื่อตัวเองและสังคมบ้าง  หลายคนมีเป้าหมายจากนี้ไปอีก 1 ปีว่าเป็นอย่างไร  ผมว่ามันสำคัญนะครับกับการที่เรารู้จักวางแผนบางสิ่งไว้ก่อนที่มันจะมาถึง  นั่นเป็นเหมือนสิ่งที่คอยกระตุ้นเราให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นไปตามแบบที่เราต้องการให้มันเป็นไป  เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะมาเล่าเป้าหมายของผม 1 ปี จากนี้ไปนะครับ  ยังไงลองมาดูกันว่าจะเป็นไปตามที่ผมต้องการไว้หรือไม่

เป้าหมายข้อที่ 1 มีรายได้มากกว่า 50,000 บาท/ต่อเดือน
เป้าหมายข้อที่ 2 พัฒนาตัวเองในการเข้าอบรมสัมมนา และพบเจอกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
เป้าหมายข้อที่ 3 เรียนรู้ศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสารมากขึ้น
เป้าหมายข้อที่ 4 มีความสุขกับการใช้ชีวิตและมีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวและคนที่รักมากขึ้น
เป้าหมายข้อที่ 5 ท่องเที่ยวต่างประเทศ

นี่ก็เป็นเป้าหมาย 5 ข้อที่ผมได้ตั้งเอาไว้  เดี๋ยวเรามาดูกันนะครับว่าในอีก 1 ปีต่อจากนี้ไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร  วันที่ผมเขียนเป็นหมายลงไปวันนี้คือวันที่ 6/12/2557 เวลา 15.47 นาทีนะครับ  ผมว่าการที่คนเรามีเป้าหมายและมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งนั้นให้มากที่สุด  ผมเชื่อว่ามันจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีดี รวมไปถึงการใช้ชีวิตของเราเป็นไปอย่างมีความชัดเจน  การที่เราทำในสิ่งที่ถูกต้องและชัดเจนจะนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันแห่งการเปลี่ยนแปลง

         

             เริ่มต้นวันใหม่วันนี้ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความหวัง  หลายเดือนมานี้ผมมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น  การตัดสินใจอะไรก็ใจเย็นลงมากผมรู้สึกว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เราทุกคนต้องการความสงบที่ไม่ต้องกระวนกระวายใจให้มากนัก   บางครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องใช้การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต  เราก็ต้องเปิดใจและยอมรับในการตัดสินใจครั้งนั้น  มีเหตุการณ์บางอย่างที่กระทบกระเทือนใจเราบาง  แต่ถ้าเรามีความอดทน อดกลั้น ผมเชื่อว่าเราก็จะผ่านมันไปได้  ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นมาก  รู้สึกมั่นใจในตัวเองและเข็มแข็งมากขึ้น  มีบ้างที่เจอมรสุมชีวิต  แต่ผมก็ยืนขึ้นมาได้  ต้องขอบคุณอุปสรรค์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่สอนให้ผมรับรู้ถึงความกลัว ความเสียใจ ความผิดหวัง เหล่านี้ล้วนส่งให้ผมมายืนอยู่จุดนี้ได้  ต่อแต่นี้ไปผมจะไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง ผมจะสร้างคุณค่าให้ตัวเองมากๆ  จะไม่ดูถูกตัวเอง จะสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนตัวเองให้ไปสู่จุดที่สูงที่สุด  และประสบความสำเร็จในที่สุด เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ



วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

7 วิธีที่ทำให้คุณเข้าไปนั่งในใจคน

                 
               

              อรุณสวัสดิ์กับเช้าวันจันทรฺที่แสนสดใสครับ  หลายคนเริ่มต้นวันด้วยการพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับตัวเอง   ผมว่าการให้กำลังตัวเองเป็นสิ่งที่เราไม่ควรนิ่งนอนใจนะครับ  เมื่อคืนผมก็นอนไม่หลับเลยเพราะผมมักจะตื่นเต้นเสมอเพื่อที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่  ผมเลยมานั่งสมาธิทบทวนบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  และสิ่งที่เราจะก้าวไปข้างหน้า  เป้าหมายคือสิ่งที่ผมปรารถนามาก  มันเหมือนเส้นทางที่ผมได้เลือก และกำหนดมันแล้ว ในหลายครั้งที่ผมสับสน  ผมรู้สึกว่าการมองกลับมาที่เป้าหมายของตัวเองสำคัญอย่างยิ่ง  เช้านี้ได้มานั่งอ่านบทความทางเฟส ของพี่บอย  เขาได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการสร้างความประทับใจผู้คน ผมนำมาฝากเพื่อนๆด้วยครับ   ลองอ่านกันดูครับ

1.คุณต้องพูดในที่คุณเชื่อเท่านั้น เพราะคุณไม่ต้องเสแสร้งและเมื่อคุณเชื่อในสิ่งที่พูดมากพอในที่สุดก็จะมีคนเชื่อเหมือนคุณ
2.คุณต้องฝึกเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่ง อย่าพูดแต่ข้อมูล เพราะการเล่าเรื่องสร้างจินตนาการ และจินตนาการมีพลังมากกว่าที่คุณคิด
3.คุณต้องตอบให้ได้ว่าคุณกำลังส่งมอบคุณค่าอะไรให้กับผู้คน.  เราอยู่ในยุคเหลือกินเหลือใช้มีของให้เลือกมากมายสิ่งเดียวที่ทำให้เราแตกต่างคือ คุณค่า  ที่เรามอบให้ผู้คน
4.คุณต้องมีเอกลักษณ์หาจุดเด่นให้คนจำ  แล้วตอกย้ำให้คนเห็นภาพคุณในใจเป็นภาพเดียวเสมอที่สำคัญ จงเป็นตัวเอง อย่าเป็นคนอื่น เพราะคนอื่นเขาก็เป็นคนอื่นกันอยู่แล้ว
5.คุณต้องสร้างความสนิทสนมคนด้วยการพูดจาภาษาคน  อย่าทำตัวเป็นโฆษณาพูดจาเป็นทางการ อย่าทำตัวไร้ตัวตน ไร้หน้า เพราะคนเราชอบคุณกับคนด้วยกัน  เพราะฉะนั้นหาโอกาสเล่าเรื่องของตัวเอง เพื่อให้คนจดจำ
6.คุณต้องรู้จักใช้เครื่องมือออนไลน์ให้เป็นประโยชน์  เพราะมันคือกระบอกเสียงที่ดัง แต่ใช้ตังน้อยไม่เคยมียุคไหนที่เราจะส่งทีวีของตัวเองได้  ไม่เคยมียุคไหนที่เราพูดทีเดียว แล้วคนได้ยินเยอะขนาดนี่
7.คุณต้องให้ ก่อนที่คุณจะได้รับ  คุณมีความรู้อะไรจงแบ่งปันออกไปแบบไม่ต้องหวังผลตอบแทน  แล้วผู้คนจะเริ่มจดจำคุณได้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้น  คุณจะเข้าไปนั่งในใจผู้คน และเมื่อนั้น ทุกสิ่งที่คุณต้องการจะมาหาคุณ

ผมว่าช่างเป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องเสียตังเลยครับ   แค่เราลงทุนในตัวเองให้มากขึ้น รู้จักสร้างคุณค่า และภาพลักษณ์ หรือ แบรด์ของตัวเอง สิ่งเหล่านี้แหละครับจะนำมาซึ่งมาสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิตและทำให้ชีวิตเราแตกต่างจากคนอื่น  ยิ่งเราแตกต่างจากคนอื่นมากเท่าไหร่ โอกาสก็จะวิ่งมาเสมอพร้อมกับโอกาสดีๆ  ที่เราได้เตรียมความพร้อมนั้นแหละครับ  ยังไงก็มีความสุขในเช้าวันทำงานนะครับ

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีการสังเกตุคน



สวัสดีครับไม่ได้เขียนมานานพอดูครับ  อยากบอกว่าช่วงนี้ผมกำลังยุ่งๆ มากครับ  กำลังพยายามสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับตัวเองอยู่  หลายสิ่งที่ผ่านไปนี้ผมรํู้สึกว่ามีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของผมมาก  การที่คนเรารู้จักวางตัว  และมองคนอื่นในเเง่ที่ดี  มันก็ส่งผลที่ดีกับตัวเราเป็นอย่างมาก  ทำไมเหรอครับ  ก็เพราะว่านั่นหมายถึง  มันทำให้เราเป็นคนที่รู้จักเปิดใจรับรู้ และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในตัวคุณเองตลอดเวลา  นะครับ  เอาละครับ เข้าเรื่องกันดีกว่าผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมาครับ  ชื่อเรื่อง สร้าง แบรนด์ ด้วยตัวคุณเอง แล้วเขาสอนเกี่ยวกับการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนให้ดู พอจะสรุปได้ 12 หัวข้อ เเละผมมองว่ามันเป็นจริงและน่าสนใจมากๆครับ 

1.คุณนั่งตรงข้ามกับลูกค้าของคุณในที่ทำงานและเขานั่งกอดอดพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้
คำตอบ  โดยทั่วไปการกอดอกหมายถึงการปฎิเสธหรือไม่ยอมรับ  เขากำลังอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด  หรือสิ่งที่คุณกำลังโน้มน้าวอยู่

2.ลูกค้าโน้มตัวเข้าหาคุร  กางแขนออก ซะโงกเหนือโต๊ะเข้ามา
คำตอบ  การโน้มตัวมาข้างหน้าหมายถึงความสนใจหรือเห็นด้วย  เขารู้สึกดีกับคุณ  เพื่อให้แน่ใจ  ลองดูว่ารูม่านตาขยายตุวเปิดกว้างขึ้นด้วยหรือไม่

3.ในระหว่างการสนทนา  มือของลูกค้ายังอยู่บนโต๊ะ  แต่ตัวเอียงไปทางอื่น
คำตอบ  การเอนตัวหนีอาจจะหมายถึงการไม่เห็นด้วย แต่คุณต้องสังเกตอาการอย่างอื่นประกอบกัน  เพราะมันอาจจเป็นเพียงแค่เขาขยับท่านั่งเท่านั้นเอง

4.เมื่อคุณกำลังคุยอยู่กับเขา  เขาแบมือหงายขึ้นมา
คำตอบ  การแบมือหงายขึ้นหมายถึงความซื่อสัตย์และเปิดกว้าง  อย่างไรก็ตาม  ถ้ามันดูเกินเลยความจริง  มันอาจจะกลายเป็นความเสเเสร้งได้  ยกตัวอย่างเช่น  ใครบางคนแบมือหงายขึ้นพร้อมกับยักไหล่แล้วพูดว่า  "เอาน่า เชื่อฉันเถอะ"

5.เขาใช้ข้อศอกเท้าลงมาบนโต๊ะ  จรดปลายนิ้วมือทั้งหมดเข้าหากัน
คำตอบ  การจรดปลายน้ิวเข้าหากันเป็นสัญญาณว่า กำลังอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าและเต็มไปด้วยความมั่นใจ คุณสามารถใช้ภาษากายนี้ในการควบคุมการประชุมได้  มันเป็นภาษากายที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุดแม้แต่กับคนที่ไม่ค่อยแสดงท่าทางออกมา

6.คุณกำลังคุยกับลูกค้า  แต่เขากลับเอนตัวลงพิงพนัก  ไขว้มือรองศรีษะเอาไว้
คำตอบ  เอามือหนุนศรีษะเอาไว้ข้างหลัง  หมายถึงความได้เปรียบอย่างสูงสุด มันแปลได้ว่า  "ฉันกำลังควบคุมที่นี่อยู่" หรือไม่ก็ "แกหลอกฉันไม่ได้หรอก"และถ้าขาของเขาไขว้ห้างเป็นรูปเลข 4 อีกด้วย มันยิ่งแสดงถึงความหยิ่งผยองว่า "สักวันแกคงเก่งเหมือนกับฉันได้หรอก"

7.ลูกค้าของคุณยกมือขึ้นปิดปากในระหว่างที่พูดไปด้วย
คำตอบ  การใช้มือลูบคลำปากในขณะที่พูด  หมายถึงความไม่แน่สิ่งที่พูดออกมา  เหมือนกับเธอพยายามที่จะปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้  สังเกตว่า  สำหรับพวกเด็กๆ จะใช้มือปิดสนิททั้งปากพวกวัยรุ่นจะเพียงแค่เเตะริมฝีปากเท่านั้น  ส่วนสำหรับผู้หญิง  ก็อาจจะกลายเป็นการลูบคลำคางหรือฝีปากนานๆ ครั้งนั่นเอง

8.คุณกำลังพูด  แต่ลูกค้าของคุณยกมือขึ้นปิดปากแทน
คำตอบ  แต่ถ้าเป็นคนฟังเอามือปิดปาก  มันอาจจะหมายถึงเขามีสิ่งที่อยากจะพูดออกมา  หรือไม่ก็คิดว่าคุณกำลังไม่ได้พูดความจริงหรือไม่ก็รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

9.ลูกค้าของคุณพูดไปด้วย  ยกมือขึ้นถูใบหูไปด้วย
คำตอบ  การถูใบหู จมูก หรือคาง หรือว่าทำเป็นเก็บเศษฝุ่นผงออกจากเสื้อคลุม ล้วนแล้วต่างก็มีข่าวสารอย่างเดียวกัน  พวกเขาหมายถึงกำลังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจหรือรู้สึกไม่สบายกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่  หรือไม่ก็กำลังเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

10.คุณกำลังพูดอยู่  แต่ลูกค้าของคุณ  ทั้งๆ ที่กำลังนั่งอยู่ด้วยเช่นกันแต่กลับวางมืออยู่บนต้นขาหรือเข่า  แสดงท่าทางว่ากำลังจะลุกขึ้นอยู่เดี๋ยวนั้น
คำตอบ  วางมือเอาไว้เหนือเข่าหรือต้นขา  หมายความว่าเขาต้องการจะลุกขึ้นและจบการสนทนาลง

11.คุณกำลังพูดอยู่ในที่ประชุม  ใครบางคนยกศอกขึ้นเท้าโต๊ะกำหมัดถูกับแก้มของตนเองไปมา
คำตอบ  ภาษากายแบบนี้หมายความถึงการเบื่ออย่างสุดๆ  และม่มีความสนใจเลย  ถ้าคุณเห็นอาการแบบนี้เกิดขึ้นในระหว่างการประชุม  จงลุกขึ้นแล้วใช้ฟลิบชาร์ตเพื่อกระตุ้นความสนใจในทันที

12.เขากำลังพูดพร้อมกับหมุนปากกาเล่นไปมา
คำตอบ การให้ความสนใจในสิ่งอื่นในระหว่างที่พูด  หมายถึงความรู้สึกลำบากใจหรือขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับ  ยังไงลองเอาไปศึกษาวิเคราะห์ดูนะครับ  การเรียนรู้ตนเองยังไงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะรู้จักผู้อื่นได้ดีครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Digital stand out






เช้าวันนี้อากาศดีครับ  รู้สึกมีความสุขมากกับการใช้ชีวิต   เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557
ผมได้รับโอกาสไปนั่งฟังสัมมนา ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท  11  เกี่ยวกับเรื่องการทำการตลาด Online รู้สึกประทำใจมากครับ วันนี้เอามาฝากให้เพื่อนได้รับฟังกันด้วยครับ

ช่วงที่ 1 เป็นช่วงแรกของการเข้าสัมมนาได้มีการสัมภาษณ์วิทยากรพอสรุปได้ดังนี้ครับ

1.เมื่อคุณมีความเชื่อเรื่องอะไร ให้คุณประกาศความเชื่อไปเลย
2.ลงมือทำตามความฝัน/ความเชื่อนั้น
3.ทำให้ความเชื่อของเราและเราเป็นเรื่องเดียวกัน

วิธีการสร้าง Personal Branding
1.สร้างความโดดเด่นให้คนจำเป็น
2.ความชอบ/งานอดิเรก/สร้างและพัฒนาจากสิ่งที่เราชอบบอกต่อผ่านโลก Online สร้างพื้นที่ทำด้วยใจที่สร้างสรรค์  เงินจะเกิดขึ้นเขาจะสร้างเงินให้คุณเอง
3.ลงมือทำ
4.การสร้างวิสัยทัศน์  "การสร้างคุณค่า"
5.มีให้หมดแต่สำคัญคุณต้องมีบ้านของตัวเอง  www.
6.ต้องรู้ถึงความต้องการของตัวเอง
7.สร้างคุณค่า คืออะไร สร้างคุณค่าให้แตกต่าง
      NEED  = เฉพาะกลุ่ม  = กว้างแค่นิ้วและลึกแค่ไมค์
      MASS = หลากหลาย
8.ตั้งโจทย์แล้วหาผลลัพธ์จำไว้ว่า ทรัพย์สินที่มีมากที่สุด คือ คน

วิธีพูดให้เก่งไม่เท่าการเป็นคนดัง
"การเป็นคนดังนั้นเป็นเรื่องดีถ้าคุณมีเสียง"
Action
1.ความสม่ำเสมอคือหัวใจของความสำเร็จ
2.ชอบฟังเรื่องเล่าของชาวบ้านหรือเป็นนักเล่าเรื่อง
3.การสร้าง Branding
4.รู้จักตั้งคำถาม ง่ายๆๆ
5.จัดอันดับความนิยมของเรื่อง
6.อย่าทำตัวให้น่าเบื่อ ทำตัวให้สนุกสนาน ร่าเริง

" หาหนทางเกี่ยวกับผู้คนให้ได้  จำไว้ว่าคนเรามักนึกถึงตัวเองก่อนเสมอ"



วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

9 เทคนิคเก่งภาษาอังกฤษให้คล่องและเร็ว

               
                           

                ผมได้อ่านข้อความนี้จากเฟสบุ๊คของคุณ บัณฑิต อึ้งรังษี  เกี่ยวกับ 9 เทคนิคเก่งภาษา (ทุกภาษา) ได้ง่ายๆ แค่ปรับ Mindset หรือเรียกสั้นๆได้ว่า  "หลักคิด" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สำหรับการเรียนภาษาแต่กลับเป็นสิ่งที่หลายคนที่เรียนภาษาอยู่มองข้ามกันมากที่สุดหลักคิดสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ "เราคือผู้ลิขิตชะตาของตัวเอง"  ไม่มีใคร หรืออะไรช่วยให้เราเก่งภาษาได้นอกจากตัวเราเองเท่านั้น  ต่อไปนี้ คือ ไอเดียสำคัญในการปรับ Mindset จากหนังสือ "เก่งภาษา 50 ล้าน" มีดังนี้

          1.อยากเก่งภาษาต้องมีแรงจูงใจ Motivation fuels the engine ตอบตัวเองให้ได้ว่า เรียนภาษาไปทำไมเมื่อมีเหตุผลลที่จูงใจมากพอ คุณก็จะมีพลังในการเรียนภาษาที่ทวีคูณ
  
(ประสบการณ์ส่วนตัว)    สำหรับผมแล้ว ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดแต่ก่อน ผมแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยจนพัฒนาตัวเองได้ จากแรงจูงใจที่สร้างให้กับตัวเอง  บอกตัวเองว่า คุยกับฝรั่งได้ มันเท่ห์ดี เราเองก็ทำได้หนี เอาวะ สู้โว้ย จงอย่าดูถูกพลังขับเคลื่อนจากภายในเด็ดขาดเพราะพลังมันทวีคูณกว่าที่คิดไว้มาก
            2.ภาษาไม่ยาก และคุณเองก็เก่งได้  Believe in yourself  เลิกบอกตัวเองว่า "ฉันไม่เก่งภาษา" สู้คนอื่นไม่ได้หรอก แล้วให้พลังความเชื่อในตัวเองว่า "ฉันเก่งภาษาได้และเก่งได้กว่าคนอื่นด้วย"

(ประสบการณ์สวนตัว)  ผมเองมักบอกตัวเองเสมอในทุกเรื่องว่า  ความเชื่อคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ เราไม่มีวันสำเร็จในสิ่งที่เราไม่เชื่อได้อย่างแน่นอน  วันที่ผมเริ่มลุยฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ประโยคที่ผมใช้ปลุกความเชื่อตัวเองคือ... "You can and you will" (No excuss!)  

           3.ตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ -Aim high- ก่อนเรียนภาษา เราควรตั้งเป้าให้ตัวเองว่า "เราจะเก่งภาษาให้ได้แค่ไหน" ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ไม่เวอร์ไป และรู้ว่าทำได้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ถึงเราจะไปไม่ถึงเป้า 100 เปอร์เซนต์ แต่ผลที่ได้คือ "เราเดินหน้าไปสู้ร้อยทุกวัน"

(ประสบการณ์ส่วนตัว) เป้าหมายอันหนึ่งที่ผมเคยตั้งไว้ก่อนเรียนภาษาอังกฤษ คือ "การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเปิดดิก" หลังจากที่ผมตั้งเป้านี้ขึ้นมา  ผมก็ลุยอ่านบทความและหนังสือแนวที่ชอบอ่านในภาษาอังกฤษ โดยพยายามไม่เปิดดิก และใช้บริบทอย่างเดียวเท่านั้น เพราะผมรู้ว่า ไม่มีทางหรอกที่ผมจะรู้ศัพท์ทุกคำได้ในเวลาสั้นผมจึงเลือกสร้างทักษะการเดาความจากคำแวดล้อมเรื่อยๆ จนวันนี้ ผมสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ โดยไม่ต้องเปิดดิกแล้ว  ไม่ใช่เพราะรู้ศัพท์ทุกคำ แต่เป็นเพราะ "ผมฝึกเดาจนชิน"และนี่เอง คือ เหตุผลที่ทุกคนควรมีเป้าหมายก่อนเรียนภาษา

          4.หา Idol เก่งภาษา Find Role Models การมี idol ที่ชื่นชมด้านความเก่งภาษาจะช่วยเราผลักดันตัวเองให้เก่งเหมือน idol เราได้ แค่นึกภาพตัวเองพูดได้คล่องเหมือนกับ idol ของเราบ่อยๆ แค่นี้ก็ช่วยให้ความรู้สึกดีกับเรา และเป็นแรงผลักให้เราเก่งภาษาได้อย่างมหาศาลแล้ว

Tips: ลองหา idol ที่เป็นคนไทย สำเนียงภาษาอังกฤษดีเหมือนเจ้าของภาษาแต่ไม่เคยไปเรียนต่อ หรือ อยู่ต่างประเทศเลย อาศัยแค่การฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเท่านั้นดูสิครับ.. รับรองว่าจะมีกำลังใจให้ตัวเองเยอะขึ้นทันทีและไม่ต้องมีข้ออ้างอีกด้วยว่า "เก่งภาษาอังกฤษไม่ได้สักที เพราะไม่ได้ไปนอก"

            5.ภาษาต้องสนุก Learning should be fun การเรียนภาษาต้องสนุก ไม่เครียด และไม่น่าเบื่อ ยิ่งสนุก>> ยิ่งอยากเรียน>>ยิ่งเก่งขึ้น>>ยิ่งจำ>>ยิ่งหมดสนุก>>ยิ่งลืมง่าย

(ประสบการณ์ส่วนตัว) ผมเองเคยเป็น "นักทอง" มาตอนสมัยเรียนและพบว่าที่ท่องมา ลืมเกือบหมดหลังสอบและหลังเรียนนจบ แถมเอาสิ่งที่จำนั้น ใช้มาช่วยสื่อสารในชีวิตจริงได้ไม่ถึงครึ่งผมเลยตัดสินใจ "เลิกท่อง" แล้วหันมา "คลุกคลี" กับภาษาอังกฤษผ่านสื่อต่างๆที่ตัวเองชอบและสนุก "ทุกวัน" ผมพบว่าเป็นวิธีที่ดีและเร็วที่สุดแถมไม่ฝืนธรรมชาติและไม่รู้สึกเหมือนกำลังเรียนภาษา แต่ "สนุกกับภาษา" ซะมากกว่า 

             6.ซ่อม ซ่อม และก็ซ่อม The more you practice the easier it gets การฝึกฝนบ่อยๆ คือหัวใจของการเก่งภาษา ไม่ใช่ "ผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ" แต่คือ "ผู้ที่มีชั่วโมงบินสูง" 

(คำแนะนำส่วนตัวเเบบง่ายๆ)  
อยากฟังให้ออก...ฟังให้เยอะ
อยากพูดให้คล่อง...พูดให้เยอะ
อยากเขียนให้ดี...เขียนให้เยอะ
อยากอ่านให้รู้เรื่อง...อ่านให้เยอะ

            7.ปูพื้นฐานภาษาด้วยการฟังและอ่าน  Input equals Output  เริ่มปูพื้นฐานภาษาด้วยการฟังและอ่านให้เยอะก่อนแล้วทักษะการพูดและเขียนจะพัฒนาได้ง่ายขึ้น

(ประสบการณ์ส่วนตัว) ผมเองแต่ก่อนเคยมีปัญหาด้านการเขียนแกรมม่ามาจนหลังจากที่เริ่มอ่านหนังสือและบทความภาษาอังกฤษเยอะๆ ทักษะการเขียน และพื้นฐานแกรมม่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยอัตโนมัติและนี่เองคือ เคล็ดลับอีกอย่างของการเก่งแกรมม่าให้เร็ว "อ่านให้เยอะ+เขียนให้เยอะ"

             8.ผิดได้ ไม่เป็นไร  Mistakes are inevitable เป้าหมายของการเรียนภาษา คือ "การสื่อสารให้เข้าใจ"  อย่างมองภาษา เป็นเหมือนข้อสอบที่มี "ถูกและผิด" จนทำให้กลัวและ "อายที่จะผิด"

(ประสบการณ์ส่วนตัว) สมัยก่อน ตอนผมฝึกพูดภาษาอังกฤษใหม่ๆ จะเกิดอาการ "เกร็ง" พูดออกมาเป็นภาษาเขียนเพราะมัวแต่ "กลัวผิด" และนึกแต่ประโยคที่เคยเรียนมา ซึ่งไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลยจนวันหนึ่ง ก็พบกับความจริงที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ว่า "พูดไปเถอะ พูดแบบไม่ต้องคิดมากด้วยนะ ผิดได้ผิดไป แค่เขารู้เรื่อง เกราก็โครตเก่งแล้ว"

             9.การเรียนภาษา ไม่มีวันสิ้นสุด Learning language is a journey of a lifetime การเรียนภาษา ไม่มีเส้นชัย แต่คือการเดินทางไปเรื่อยๆ เจอสิ่งใหม่ๆให้พัฒนาและเรียนรู้ไปแบบไม่มีที่ส้ินสุด จงอย่าหยุดเรียนรู้และอย่าหยุดฝึกฝน

(ประสบการณ์ส่วนตัว) หลังจากที่ภาษาเราพัฒนาได้ดีระดับหนึ่งแล้วภาษาเราจะไม่ดิ่งลงเหวไป เวลาที่ห่างหายไปไม่ได้ใช้ภาษาเป็นเวลานาน แต่ "ภาษาเราจะถดถอยลง" และจำเป็นจะต้องฟื้นฟูใช้เวลาปัดฝุ่นใหม่ เทคนิครักษาภาษาไม่ให้ถดถอยคือ "ลับคมภาษา" บ่อยๆ ง่ายๆ ด้วยการคลุกคลีกับสื่อภาษาที่เรียนเรื่อยๆเมื่อมีโอกาส  แค่นี้ ภาษาก็จะไม่ห่างไกลจากเรา จนต้องใช้คำว่า "รื้อฟี้น" แล้ว

             นี่เเหละครับเป็นเคล็ดลับดีๆที่ผมนำมาฝาก อ่านแล้วผมมีเเรงบันดาลใจเลยว่า ผมจะต้องเป็นคนที่เก่งภาษาเอามากๆ ไม่ว่าภาษาไหนผมผ่านหมด เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ




วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ถ้ามีความตั้งใจ ทำอะไรก็สำเร็จ





             เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสดูรายการเจาะใจ  ได้ฟังคนมาแชร์ประสบการณ์เขาเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ไปโด่งดังที่เมืองนอก  มีค่ายมวยมากกว่า 100 แห่งทั่วโลก  จุดเริ่มแรกของชีวิตเขาก็คือ ความรักในมวยไทย ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ได้มีโอกาสเรียนมวยไทย และขึ้นสังเวียนมาแล้วอย่างมากมาย  จุดเปลี่ยนชีวิตชายผู้นี้คือ การเดินทางไปต่างแดน แล้วได้มีโอกาสได้เผยแพร่มวยไทยจนเป็นที่รู้จักของคนไปทั่วโลก  เป็นเทรนเนอร์ให้กับบุคคลต่างๆมากมาย อาทิ เช่น บอดี้การ์ดของจอร์ช บุช  เจ้าชายซาอุดิอาราเบีย เป็นต้น
              มีประโยคหนึ่งที่ผมรู้สึกประทับใจเขามากนั่นคือ เขาพูดว่า ความพยายาม  ความมุ่งมั่น และไม่เคยถอย   สิ่งนี้ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตต่างแดน  คนเราถ้ามีความตั้งใจจริง  มุ่งมั่น และทำมันไปเรื่อยๆ สักวันผลลัพธ์มันต้องออกมาดีอย่างแน่นอนครับ

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชายตาบอดที่ขี่อยู่บนหลังเสือตาบอด





           หลายคนคงคุ้นเคยประโยคข้างต้นนะครับ มันเป็นเรื่องของคนๆหนึ่งซึ่่งประวัติเขาน่าสนใจมาก วันนี้ผมได้อ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขา  อ่านแล้วทำให้คนตัวเล็กอย่างผมมีแรงบันดาลใจมากขึ้น ขนาดคนอย่างเขาทำได้คนอย่างผมก็ต้องทำได้เหมือนกันซิครับ  บุคคลผู้นั้นก็คือ แจ๊ก หม่า คนจีนที่ไปโด่งดังกลายเป็นเศรษฐีในต่างแดน  ผมรู้สึกทึ่งและอยากจะเอาเรื่องนี้มาแชร์พอสรุปเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขาให้ฟังกันครับ
             1.ถีบตัว  หม่าเกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่เขามีความพยายามมาก ตอนอายุ 12 ปี เขาอาสาเป็นไกด์ให้นักท่องเที่ยวแบบฟรีๆ เพื่อแลกกับการได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ การที่เขาไปใกล้ชิดกับครอบครัวชาวออสเตรเลียที่เป็นเพื่อนนับเป็นการทำให้เราเริ่มเปิดหูเปิดตาและคิดต่าง
             2.มุ่งมั่น หม่า สอบเอ็นทรานซ์ไม่ผ่าน ถึง 2 ครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยครู ในการสอบครั้งที่ 3 และได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน
              3.ไม่ท้อ หลังจากที่หม่าเรียนจบในปี 1988 ก็เริ่มหางานแต่ก็ถูกปฎิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ารวมถึง KFC จึงลงเอยด้วยการเป็นครูสอนภาษา
             4.ตั้งตัว ในปี 1995 หม่า เดินทางไปซีแอตเทิลเพื่อเป็นล่ามให้ตัวแทนการค้า และที่แห่งนี้เองที่เศรษฐีอันดับ 1 ของจีนมีโอกาสลองใช้อินเตอร์เน็ตครั้งแรกอันนำไปสู่การตัดสินใจเปิดเวปไซต์ China pages
             5.ฝ่าฝัน กระทั่งก่อตั้งบริษัท อีคอมเมิร์ซชื่อ อาลีบาบา เมื่อปี 1999 ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของคำจำความที่ว่า  ชายตาบอดที่ขี่อยู่บนหลังเสือตาบอด  และเมื่อไปประกาศหาหุ้นส่วนที่สหรัฐ ก็ไม่มีใครสนใจ
              6.ยืนหยัด  อาลีบาบา ยิ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กระทั่งเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557 ที่ผ่านมาด้วยมูลค่าการซื้อขายถึง 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก
              7.วันสำเร็จ  เขาได้ให้สัมภาษณ์หลังจากนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ว่า  สิ่งที่เราได้ในวันนี้ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่เป็นความไว้วางใจจากประชาชน

              นี่แหละครับคือจุดที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่  คนเราหากรู้จักพัฒนาเองอย่างไม่หยุด  มุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรค์ใดๆ เราก็ต้องไม่ท้อไปเสียก่อน  เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วความสามารถประสบการณ์ที่เราได้สั่งสมมานั้นแหละครับ จะเป็นตัวที่จะสานฝันให้เราและนำพามาซึงความสำเร็จในสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ได้  เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บูติก โฮสเทล




          หวัดดีครับ  เมื่อวานผมได้เข้าสัมมนาเรื่องนี้มารู้สึกว่าธุรกิจนี้น่าสนใจมาก  เลยอยากจะมาแชร์ความรู้ให้กับเพื่อนที่สนใจลองฟังกันดูนะครับ

      บูติก โฮสเทส  ฟังชื่อแล้วอาจจะไม่คุ้นหูนะครับ  ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ธุรกิจห้องพักครับ  แต่ที่ธุรกิจนี้น่าสนใจตรง เน้นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ตราบที่ลูกค้าต้องการ โดยวิธีการหยิบยืมทรัพยาการที่อยู่รอบๆตัวมาเป็นจุดขายให้เกิดภาพลักษณ์ในการจดจำที่ดี  ผมไปนั่งฟังแล้วรู้ได้เลยว่าต่อไปธุรกิจนี้จะนำเงินมาเป็นกอบเป็นกำมากกว่าการลงทุนในการทำธุรกิจโรงแรมใหญ่ๆอีกต่างหาก
เราลองมาดูกรณีตัวอย่างกันนะครับ  เจ้าของผู้ทำการจัดสัมมนาได้แชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ

กรณีศึกษาที่ 1

            ทำเล                  :          โรงรถเก่าใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย
            ค่าเช่า                :           20,000  บาท/เดือน
            สัญญาเช่า        :           3 ปี
            เงินลงทุน          :         500,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           3  ห้อง
         ระยะเวลาคืนทุน  :           1  ปี
         Marketing            :         UPPER MIDDEN   (ไม่ถูกหรือแพงเกินไป)
                      
        เทคนิค                        1.การสร้างจุดขาย
                                            2.การ Save cost ให้ตัวเอง
                                            3.ประหยัดพลังงาน เช่น ไม่ติดแอร์  หาบรรยากาศที่เย็น

        KEY :              ทฤษฎี  3 ห่วงทองคำ
                                 ห่วงที่ 1  ความคิดสร้างสรรค์
                                 ห่วงที่ 2  การทำกำไร
                                 ห่วงที่ 3 ความยั่งยื่น แปลว่า พลังงาน ธรรมชาติ ความรัก เป็นต้น

       ***ทำเลที่ใช้  1. ถูก   2.ประหยัด  3.สร้างจุดขาย**


MODEL BUSINESS

         1. ราคาถูก (ค่าเช่า)  2. บ้านเก่า    3.ตกแต่งถูก 4.ความเป็นคน

แบ่งได้ 2 ส่วน
1.H  =  Hardware   หมายถึง  การตกแต่งภายใน  การจ้างสถาปนิก การออกแบบ 
                                                  การจัดสถานที่
2.S  =  Software      หมายถึง  การให้บริการ การสร้างความประทับใจ  ค่าของความเป็นคน

กรณีศึกษาที่  2 (การเปรียบเทียบราคาของ 2 แบบ)

          1.  KL ในสลัมของมาเลเซีย ทัวร์  เช่าแต่ชั้น 2 จัด Location ให้น่าสนใจ
การนำเสนอ    :   การสื่อสารแบบฉลาด  สร้างจัดด้อยให้เป็นจุดเเข็ง
เสน่ห์              :   ชุมชน  บรรยากาศ
       
           2. เมืองมะละกา (มรดาโลก)  แพงที่สุดในเมือง  
ราคา              :   4,500  บาท/คืน
จำนวนห้อง    :    1 ห้อง
OPTION       :   No
เสน่ห์             ;   วัด ร้านเก่าๆ พาไปดูชุมชน (ความเป็นคน)

**หากจะพักที่นี้ต้องถูกสัมภาษณ์ก่อนถึงจะเข้าพักได้**
ราคา             :   1,000  บาท/คืน
จำนวนห้อง   ;   4 ห้อง
OPTION      :  มี


เปรียบเทียบระหว่าง 2 ที่นี้   ใช้หลัก 80:20

1. ห้องมีรายได้  4,500 บาท/คืน  ให้บริการ  1 คน
2.ห้องมีรายได้   4,000 บาท/คืน  ให้บริการ  4 คน

กรณีศึกษาที่ 3 ของคุณ นพดล สุเนตรตา (ปีก่อสร้าง 2009)


            ทำเล                  :          บ้านเก่าที่เชียงคานย่านชุมชน
            ค่าเช่า                :           ไม่ระบุ
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         600,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           10  ห้อง
         ระยะเวลาคืนทุน  :           3  ปี  (กำไรประมาณ 1,500,000 บาท)
         Marketing            :         UPPER MIDDEN   (ไม่ถูกหรือแพงเกินไป)
                จุดเด่น           :         ภูเขา แม่น้ำโขง ตลาดคลองถ่ม
                จุดด่อย          :          หน้าร้อนลูกค้าจะน้อยลงเนื่องจากทางเหนือเป็นภูเขา
                      
        เทคนิค                      การบริการคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ

   
กรณีศึกษาที่ 4 ของคุณ นพดล สุเนตรตา (ปีก่อสร้าง 2012)


            ทำเล                  :          ห้องแถวย่านข้าวสาร
            ค่าเช่า                :           20,000 บาท/เดือน/ชั้น  (เช่า 3 ชั้น) ฟรีดาดฟ้า
                                                  ชั้นที่ 1  ลอบบี้
                                                  ชันที่ 2  ห้องจำนวน 10 ห้อง
                                                  ชันที่ 3  ห้องจำนวน 10 ห้อง
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         3,000,000 บาท
            จำนวนห้อง       :           20  ห้อง  1,000 บาท/คืน
         ระยะเวลาคืนทุน  :           1  ปี
         Marketing            :          1.ให้กินข้าวฟรี   และให้ลูกค้าฝากแนะนำต่อ
                                                  2.ค่าอีเจนซี่ให้บริษัททัวร์
                                                  3.ลูกค้า Walk in
                                                  4.จองล่วงหน้าลดให้ 10%
                                                  5.อย่างน้อยใน 1 เดือนต้องขายให้ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนห้องต่อวัน
                                                   ลดไปเลย  และอีกครึ่งหนึ่งค่อยมาขายราคาเต็ม
                                                  6.เน้นการให้บริการ
                                                  7.รายได้อื่นๆ เช่น พาทัวร์  หารถบัส  เที่ยว เบอร์ชัวร์ต่างๆ

                จุดเด่น           :         ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวข้าวสาร
                จุดด่อย          :         เข้าในซอยอาจจะหายากนิดๆ
                      
        เทคนิค                      1.ค่าเช่าต้องไม่เกิน 25% ของรายได้ที่หามาได้
                                          2.ต้องลงสำรวจพื้นที่เอง วัดใจเอา
                                          3.เน้นการตกแต่งภายในสร้างบรรยากาศ  สร้างเรื่องราว คอนเซปห้อง
       ลูกค้าคนแรกของห้อง
               ตอนลงไปเเจกใบปลิ้ว ลูกค้าคนรัชเซีย ซึ่งเมามากครั้งแรกผมก็ไปลากเขามากเลย ถามว่ายูเมามากไหม ปะไปพักกับผมก่อน  เช็คอิน 4 ทุ่ม เช็คเอาน์ 8 โมง ลูกค้าติดใจขออยู่ต่ออีก 6 วัน
ฝรั่งเขาจะมีโปรแกรมพักแบบ Back pack คืออยู่แบบระยะยาว
ประเทศ ฮอนแลนด์ รัฐบาลเขามีเงินชดเชยให้ในกรณีที่ตกงานด้วย คือพูดง่ายเที่ยวบ้านเราแบบประหยัดได้เลย 6 เดือน  แล้วไปตกงานต่อ 555++
                          
       
กรณีศึกษาที่ 5 ทำแล้วเจ๋ง (ขาดทุน 3 ล้าน  ปี 2011)


            ทำเล                  :          A Vernew
            ค่าเช่า                :           180,000 บาท/เดือน  ชั้นที่ 5              
            สัญญาเช่า        :          ระยะยาว
            เงินลงทุน          :         2,000,000 บาท
            จำนวนห้อง       :          5  ห้อง  ห้องละ 2,800 บาท/คืน  2,200 บาท/คืน 16 ตรม.
         ระยะเวลาคืนทุน  :           ขาดทุน 3,000,000  /ต่อปี
         Marketing            :          เน้นความหรูหรา สะดวกสะบาย
                จุดเด่น           :         อยู่ในย่านของฝรั่ง
                จุดด่อย          :         ไม่มีลิฟท์  ไม่ได้สร้าง story ลูกค้าไม่สามารถนำกลับมาใช้
                      
        ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
                        1.ไม่ได้เรียนรู้ให้ดีก่อนทำธุรกิจนี้
                        2.ขาดการบริหารจัดการที่ดีเช่น แม่บ้าน ช่าง
                        3.ลงทุนผิดจุดไม่จำเป็นใช้เงินเยอะ  เช่น ต้นทุนในการจ้างผรม. ระบบท่อน้ำ (ต้นทุนสูง)
                        4.กลุ่มลูกค้า โฟกัสไม่ถูกจุด
                        5.ขาดการจัดการบริหารที่ดี

สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่จำเป็นต้องศึกษา  เพราะนั้นจะนำมาซึ่ง Passive incom จะช่วยในการ Save ค่าใช้จ่าย ลดปัญหาต่างๆเยอะมาก


สิ่งสำคัญที่ควรจำจำในการทำธุรกิจนี้

1. เราจะเริ่มยังไง
2.การเขียนแผนธุรกิจ
3.โมเดลธุรกิจ


                                              "  แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"
                                         


วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ศาสตร์แห่งความร่ำรวย

           สวัสดีครับไม่ได้เขียนมาตั้งนานแล้ว  หลังจากที่ผมกำลังมกหมุ่นอยู่กับบางอย่างทำให้เราคิดอะไรไม่ออกวันนี้ผมรู้สึกว่าเมื่อเราปล่อยวางลงทุกอย่างเหมือนเปิดทางให้เราเลยครับ ผมมีความสุขในชีวิตมาก ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อเรื่อง "ศาสตร์แห่งความร่ำรวย" เขียนโดย วอลเลส ดี. วัตเทิลส์  เขียนไว้ดีมากครับ วันนี้ผมเลยอยากจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนกันครับ เริ่มกันเลยนะครับ
               หนังสือกล่าวว่า จงอย่าคิดว่าคุณต้องเลื่อนการกระทำของคุณออกไปจนกว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจหรือสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง และอย่าเสียเวลาในปัจจุบันไปกับการครุ่นคิดถึงวิธีปฎิบัติที่ดีที่สุดสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆ ในอนาตตจะมีความเชื่อมันมั่นในความสามารถของคุณว่าจะเผชิญหน้ากับทุกๆ  สถานการณ์ได้เมื่อมันมาถึง  หากคุณทำสิ่งใดๆ ในปัจจุบันด้วยจิใจที่คิดไกลไปถึงอนาคต การกระทำในปัจจุบันของคุณจะเป็นไปอย่างไม่เต็มที่และจะไม่ได้ผล จงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดของคุณลงที่การกระทำในปัจจุบัน   คุณไม่มีทางได้รับสิ่งใดเลย  จงลงมือปฎิบัติเสียตอนนี้ และก็จะไม่มีเวลาอื่นใดอีกที่เหมาะสมนอกจากตอนนี้ ถ้าคุณต้องการจะเริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อการได้รับในส่ิงที่คุณต้องการ คุณจะต้องเริ่มต้นในตอนนี้  อย่าได้กังวลใจไปว่างานที่ทำเมื่อวานนี้จะทำได้ดีหรือเลวเพียงใด จงทำงานในวันนี้ให้ดี อย่าพยายามทำงานสำหรับอนาคตในวันนี้ ยังมีเวลาอีกมากมายที่คุณจะทำมันได้เมื่อถึงเวลานั้นมาถึงแล้ว  คุณสามารถลงมือทำภายใต้สภาพเเวดล้อมที่คุณอยู่ในขณะนี้  เพื่อที่จะทำให้ตัวของคุณโยกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นได้
          คุณต้องไม่ทำงานหนักจนเกินไป หรือรีบร้อนดำเนินธุรกิจของคุณเพื่่อพยายามจะทำสิ่งต่างๆ  ให้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ศึกษาดูให้ถ่องแท้ คุณต้องไม่พยายามทำงานของวันพรุ่งนี้ในวันนี้ หรือทำงานสำหรับทั้งสัปดาห์ให้เสร็จภายในวันเดียว แท้จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของสิ่งที่คุณทำ หากแต่เป็น "ประสิทธิภาพ" ของแต่ละการกระทำต่างหาก 
          ทุกการกระทำ คือ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวภายในตัวของมันเอง
          ทุกการกระทำ คือ ความมีประสิทธิภาพหรือความไร้ประสิทธิภาพภายในตัวของมันเอง
 ถ้าคุณใช้เวลาในชีวิตของคุณไปกับการกระทำที่ไร้ประสิทธิภาพ ชีวิตทั้งชีัวิตของคุณจะล้มเหลว  ในการจะทำเช่นนั้น มนุษย์จะต้องก้าวผ่านภาวะจิตใจจากระดับการแข่งขันไปสู่ระดับการสร้างสรรค์ให้ได้  เขาต้องสร้างมโนภาพที่ชัดเจนของสิ่งต่างๆ  ที่เขาต้องการ และทำทุกสิ่งที่สามารถจะทำได้ในแต่ละวันด้วยความศรัทธา ความเชื่อและเป้าประสงค์ โดยการปฎิบัติภารกิจแต่ละสิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ
          อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงและอย่างฉับพลันถ้าหากโอกาสมาถึงตัวคุณ และหลังจากที่ได้คิดดูอย่างรอบคอบแล้ว คุณรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่เหมาะสม  แต่อย่ากระทำการโดยสิ้นเชิงและอย่างฉับพลัน  เมื่อคุณยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการกระทำเช่นนั้น
          เมื่อคุณเกิดความสงสัย และไม่อาจตัดสินใจได้ จงบ่มเพาะการแสดงความกตัญญู  จงทำทุกสิ่งที่คุณสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกๆวัน  แต่อย่าทำด้วยความรีบร้อน ความวิตกกังวล หรือความกลัว จงทำให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้แต่อย่างเร่งรีบ  จำไว้ว่าเมื่อคุณทำสิ่งใดอย่างเร่งรีบ คุณจะไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นผู้เเข่งขัน คุณจะถอยหลังกลับไปสู่ระดับเดิมครั้งหนึง
        เมื่อใดก็ตามที่คุณพบเห็นคนที่ชอบโอ้อวด  นั่นหมายถึงคุณได้พบกับผู้ที่ลึกๆ  ภายในแล้วเต็มไปด้วยข้อสงสัยและความกลัว  ขอให้คุณจงมีเพียงความเชื่อและปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ปล่อยให้ทุกการกระทำ น้ำเสียง และสายตาที่มอง แสดงความเชื่อมั่นออกมาอย่างเงียบๆ ว่าคุณกำลังจะรวยหรือว่าคุณรวยแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ในการสื่อความรู้สึกนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ พวกเขาจะรู้สึกได้เองถึงความเพิ่มพูน เมื่อได้อยู่ใกล้กับคุณ  และจะถูกดึงดูดให้ย้อนกลับมาหาคุณอีก
         จงระวังจิตใจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเอาไว้ให้มากๆ  ไม่มีข้อความใดที่เป็นหลักเกณฑ์เพื่อการปฎิบัติอย่างสร้างสรรค์ จะเหมาะสมยิ่งไปกว่าประกาศิต  ยอดนิยมอันเป็น  "กฎทอง"  ของโจนส์ออฟโทลีโด  ผู้ล่วงลับไปแล้ว  ซึงกล่าวไว้ว่า  "สิ่งที่ข้าฯ ต้องการเพื่อตัวเอง คือสิ่งที่ข้าต้องการเพื่อทุกคน"
         อย่าพยายามทำงานให้เกินกว่าสถานะปัจจุบันของคุณเพื่อเอาใจเจ้านายด้วยความหวังว่าจะทำให้ตัวเองก้าวหน้าได้  จงยึดมั่นในศรัทธาความเชื่อ  และเป้าประสงค์เกี่ยวกับความเพิ่มพูน  ทั้งในระหว่างเวลาทำงาน  หลังเลิกงาน  และก่อนเข้างาน  จงยึดมั่นเช่นนั้นจนกระทั่งทุกคนที่ติดต่อใกล้ชิดกับคุณ  ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน  เพื่อนร่วมงาน  หรือคนรู้จักทั่วไป  สามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังแห้งเป้าประสงค์ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวคุณ  จนทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าและความเพิ่มพูนที่เกิดขึ้นกับคุณ  ผู้คนจะถูกดึงดูดเข้าหาตัวคุณและหากไม่มีโอกสาสของความก้าวหน้าปัจจุบันของคุณ  คุณก็จะมองเห็นโอกสารในหน้าที่การงานใหม่ในไม่ช้านี้
        อย่ารอคอยโอกสารที่จะได้เป็นในส่ิงที่คุณต้องการจะเป็น  เมื่อคุณมีโอกาสที่จะได้เป็นในสิ่งที่กว่าสถานะปัจจุบันของคุณ และคุณรู้สึกมีจิตใจที่โน้มน้าวให้ทำสิ่งนั้น จงคว้าโอกาสนั้นไว้  มันจะเป็นก้าวแรกไปสู่โอกาสที่ดียิ่งขึ้น
       จงจำไว้ว่าความคิดของคุณต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างสรรค์  คุณต้องไม่กลับไปมีความคิดว่าของทุกสิ่งนั้นมีอยู่อย่างจำกัด  หรือหวนกลับไปสู่การกระทำบนพื้นฐานของการแข่งขันอีก  แม้แต่เพียงชั่วขณะ
       เมื่อใดก็ตามที่คุณหวนกลับไปมีความคิดแบบเดิมๆ  จงแก้ไขตัวเองในทันที เพราะว่าหากคุณมีจิตใจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  คุณจะสูญเสียความร่วมมือจาก "ปัญญาทั้งมวล"
       อย่าหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ว่าคุณจะข้ามพ้นอุปสรรคต่างๆ  ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณไปได้อย่างไร  นอกจากคุณจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำในวันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น
       จงระวังคำพูดของคุณ  อย่าพูดเกี่ยวกับตัวเอง  ธุรกิจการงาน หรือเรื่องใดๆ ก็ตามด้วยความท้อแท้หรือในทางที่ชวนให้หมดกำลังใจ
       อย่ายอมรับในความเป็นไปได้ของความล้มเหลว หรือพูดในทางที่แสดงความเห็นว่าความล้มเหลวอาจเกิดขึ้นได้
       จงฝึกฝนตนเองให้คิดและมองโลกว่าเป็นสิ่งซึงกำลังจะเกิดขึ้น  กำลังเติบโตและมองสิ่งซึ่งดูเหมือนจะเลวร้ายว่าเป็นเพียงสิ่งที่จะไม่ได้รับการพัฒนาอีกต่อไปจงพูดถึงความก้าวหน้าอยู่เสมอ เพราะการทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามย่อมหมายถึง การปฎิเสธต่อศรัทธาความเชื่อของคุณ และการปฎิเสธต่อศรัทธาความเชื่อของคุณหมายถึงการยอมแพ้
       เมื่อคุณประสบความล้มเหลว  นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังไม่ได้เรียกร้องมากเพียงพอ จงมุ่งมั่นต่อไปและสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่คุณกำลังแสวงหาอยู่จะมาสู่ตัวคุณอย่างแน่นอน จงจำคำนี้ไว้  คุณจะไม่ล้มเหลวเพราะว่าคุณขาดความสามารถที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่คุณต้องการจะทำ หากคุณมุ่งมั่นต่อไปตามที่ผมแนะนำ  คุณจะพัฒนาความสามารถทั้งหมดที่จำเป็นเป็นในการทำงานของคุณขึ้นได้
       ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จงอย่าลังเลใจหรือรู้สึกสั่นคลอนด้วยความกลัวเมื่อคุณก้า่วไปจนถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วคุณจะล้มเหลวเพราะว่าคุณขาดความสามารถ  จงมุ่งหน้าต่อไป  และเมื่อคุณไปถึงจุดนั้น  ความสามารถนั้นจะมาสู่ตัวคุณได้เอง  แหล่งรวมความสามารถ  ทั้งหลายจะเปิดกว้างสำหรับคุณ  คุณจะไม่สามารถเรียกเอาภูมิปัญญาที่มีอยู่ใน  ปัญญาทั้งมวล  มาใช้เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ  ที่คุณรับผิดชอบอยู่ได้  เช่นเดียวกับที่ทำให้ลินคอล์นผู้ด้อยการศึกษา  สามารถทำงานยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนใดเคยทำไว้ในการบริหารรัฐบาล  ขอให้คุณมุ่งมั่นต่อไปด้วยศรัทธาที่เต็มเปี่ยม
         

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เกิดมาเพื่อมีชัย

           
         
           
             สวัสดีดีครับพี่น้องนักอ่านทุกท่าน  วันนี้ผมจะมาพูดถึงวิธีการสร้างเป้าหมายและการสร้างแรงบันดาลใจไม่ให้เราหมดไฟกันนะครับ  สังคมนี้มีคนเก่งมากมายแต่ทำอย่างไรละครับเราถึงจะเป็น Top 10% ในสายงานนั้นๆ  หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะครับ แต่ผมว่าจำเป็นครับ  วิธีนั้นก็คือการรู้จักพูดกับตัวเองคนเราเมื่อรู้เป้าหมายของตัวเอง  และพูดย้ำกับตัวเองทุกวันเราจะรู้ว่าเป้าหมายของเราใกล้กับความเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับตัวผมผมทำอย่างนี้จริงคือ ตื่นเช้ามาทุกวันผมจะยิ้มกับตัวเองหน้ากระจกและพูดกับตัวเองถึงความสำเร็จและเป้าหมายของมันผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นจริงเมื่อไหร่ผมรู้แค่ว่าผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเป้าหมายและการพูดย้ำกับตัวเองทุกวัน  พยายามคิดในเเง่บวก  เมื่อเราคิดในแง่บวกก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตของเรามากขึ้นทุกที  เรื่องไม่ดีก็อย่าไปคิดให้มันปวดหัวครับ  ชีวิตคนเรามันสั้นมาก  การรู้จักอดทนรอกับบางสิ่งอาจทำให้เราได้เจอกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นไปได้
            ตลอดเวลาเราไม่สามารถกำหนดได้  แค่ทำสิ่งที่ดีที่สุด  รักและภูมิใจในตัวเองให้มากๆครับ  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา  หากจิตใจเราสงบอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้หมดครับ  นี้แหละครับคือวิธีการดำเนินชีวิตของผมและผมเชื่อมั่นมากว่าผมจะประสบความสำเร็จในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

               



               
                 วันนี้ผมได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่งจากพี่บอย  ชอบมากเลยอยากเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟัง เรื่องมีดังนี้ครับ    สมศรีเป็นเด็กอีสานบ้านนอก  ฐานะทางบ้านยากจนมาก  ทุกวันแม่จะพาหาบตระกร้าเอาพริงแห้ง หน่อไม้ มะม่วงไปแลกข้าวในหมู่บ้านอื่น  ช่วงชีวิตตอนนั้นลำบากมาก  หาบไปร้องไปเพราะไม่มีเงินนั่งรถโดยสาร  สมศรีไม่มีเพื่อนคบ  แต่ละวันมีแต่วัวและควายเป็นเพื่อน  โดนลูกพี่ลูกน้องแกล้งเอาเหาจากควายใส่หัวโดนรังแกในชั้นเรียน  เพราะถูกด่าว่าโง่ ทึม หัวโต ตัวลีบ  ฟันเหยินเป็นอีแก้วหน้าม้า  หน้าตาอัปลักษณ์
                สมศรีถูกผู้ชายหลอกตอนอายุ 16 เธอตั้งท้อง  แต่ไม่เคยคิดที่จะทำแท้ง  แฟนทิ้ง  เคยคิดจะโดดให้รถทับตาย  แต่คิดได้ว่าสงสารแม่และน้อง  เลยตั้งใจเรียน กศน. จนจบ ม.ปลาย  ช่วงเช้าถึงช่วงบ่าย เป็นครูพี่เลี้ยง  ช่วงบ่ายถึงเย็น เป็นนางแจ๋ว  ล้างถ้วยกาแฟ  ล้างห้องน้ำให้กับออฟฟิศนายฝรั่ง  บ่อยครั้งที่ต้องดื่มน้ำประปาต้ม ให้อิ่มท้องต้มข้าวใส่เกลือกินจะได้มีเรี่ยวแรงทำงาน  เพื่อทุกคนที่คอยอยู่ต่างจังหวัด
              มาดามฝรั่งเห็นแวว  เพราะเธอฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตนเอง  ด้วยการไปยืมหนังสือเรียนภาษาอังกฤษและเทปนอนฟังทุกคืน  มาดามเลยให้ออกจากงานครูพี่เลี้ยง  จากนางแจ๋ว  มาดามไว้ใจให้สมศรีเดินเอกสารและได้กู้ทุนจากบริษัท  เรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  ตอนสอบสัมภาษณ์  อาจารย์บอกว่า ไม่มี นศ. คนไหนในประวัติที่นี่ที่จบ  กศน. มาแล้วจบต่อได้หรอก  เลิกล้มความตั้งใจซะ  สมศรีตอบว่า  "ให้โอกาสหนูด้วยหนูจะทำให้ได้ค่ะ" สมศรีเรียนหนัง  อ่านหนังสือหนักกว่าคนอื่น 10 เท่า  และในที่สุดเธอก็จบถึง ป.โท  ปัจจุบันเธอและลูกพำนักอยู่ที่  Hamburg เยอรมันนี  เธอเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออก  และกำลังศึกษาต่อ ป.เอก  ในอนาคตอันใกล้จะเปิดธุรกิจ Wellness ใน Hamburg

                 เห็นไหมครับ  คุณคิดเหมือนผมไหมครัวดูเหมือนนิยายเชื่อได้ยาก  จากเด็กบ้านนอกไม่มีข้าวจะกินจนเรียนจบ ป.โทและเป็นเจ้าของธุรกิจที่เยอรมันนี  สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ

"มันไม่สำคัญเลยว่าคุณอยู่ที่จุดไหน"
"สิ่งที่สำคัญก็คือ  คุณอยากจะไปที่จุดไหน"

                 คำถามคือ เรื่องราวพลิกชีวิตแบบนี้  ทำไมจะเป็นคุณอีกคนไม่ได้ละ   คุณครับมาทำชีวิตของเราให้ยิ่งกว่านิยายจนต้องคนเอาไปสร้างนิยายแล้วบอกว่าสร้างจากเรื่องจริงกันดีกว่าครับ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Richest Man in Babylon for Today

บทที่ 1 

คุณตองมีความตองการที่จะมีชีวิตที่ดีกวา...


It is part of the cure to wish to be cured. 

SENECA

            John และ Mary รูสึกทอแทและเหนื่อยใจกับสถานะทางการเงินของพวกเขาเต็มทีพวกเขาแตง
งานกันมา 7 ปมีลูกดวยกัน 2 คน John ทํางานในโรงงาน สวน Mary ทํางานในสํานักงานกฎหมายแหงหนึ่งถึงแมจะไดเงินเดือนตามสมควรแตทั้งคูรูสึกวาชีวิตไมได  รับผลตอบแทนอยางที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขามีรายไดเพียงพอที่จะจายคาใชจายตางๆ (แตดวยบัตรเครดิตนะ!) พวกเขามักจะไปเที่ยวทะเล
สาบดวยกันทุกๆฤดูรอน ไปเที่ยวยามค่ําคืนเปนบางครั้งแตพวกเขามักจะเหนื่อยลาเกินไปที่จะทําอยางนั้น สุดทายจึงมักจบ

คุณเคยรูสึกเหมือนตัวเองเดินย่ําอยูกับที่บางไหม

            มันเริ่มดูเหมือนกับวาถาตอนนี้ทุกๆอยางยังเหมือนเดิม John กับ Mary คงรูสึกไมตางอะไรกับหนูแฮมสเตอรที่วิ่งวนอยูในวงลอ (เหมือนหนูถีบจักร ) พวกเขารูสึกวาไดขวนขวายพอสมควรแตก็ยังยืนอยูที่เดิมนี่เปนความรูสึกที่พบไดทวไป ั่ ในคนวัยทํางานที่มีความรูและรายไดระดับกลางๆ พวกเขา         สามารถผอนรถผอนบาน จายคาประกันสุขภาพ คาประกันชีวติ คาบัตรเครดิตและรายจายจิปาถะตางๆไดพวกเขาทํางานหนักแตไม เคยมีเงินเหลือเก็บเลย นี่เปนปญหาที่เกิดขึ้นเหมือนๆกันในทุกๆที่

คนจํานวนมากทํางานหนักเพียงเพื่อพบวา เขาไมเคยมีเงินเหลือเลย 

          John และ Mary อยากมีความกาวหนาในชีวิตบางแตพวกเขาไมรูวาจะทำอยางไรดี ถามองกันในเชิงปรัชญาแลว สถานการณเชนนี้เปนปญหาหนึ่งในระบอบทุนนิยม    ถึงแมจะมีการเหลื่อมล้ำ   ในการ
กระจายรายไดแตแนวทางนี้ก็ดูจะเปนระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดแลว คนบางคนอยางเชน Bill Gates สามารถหาเงินไดมากกวาที่ทุกๆคนจะใชไดหมดดวยซ  ้ําไป คนอื่นๆ อยางเชน John และ  Mary กลับมีรายไดนอยกวาที่พวกเขาตองการ (ที่จะเติมเต็มในชีวติ) ยังโชคดีที่ทกวุ ันนี้คุณสามารถประสบความสําเร็จทางการเงินได

Free Enterprise is uneven

          เมื่อตอนที่พวกเขามีเงินเหลือพอใชกอนสิ้นเดือน (กอนที่บิลรายจายตางๆจะมาในตอนตนเดือน) John กับ Mary คงจะยืดเสนยืดสายดวยการจับจายใชสอยดวยบัตรเครดิตจายคาสินคาอุปโภคบริโภคและจายคาน้ํามัน ฯลฯแนนอน พวกเขาไมถ ึงกับตองอดอยาก พวกเขามีทีวีจอยักษมีอินเตอรเน็ตความเร็วสูงใชมีรถ 2 คน มีเครื่องเสียงดีๆ พวกเขาไมได มีชวีิตที่แยลง เพียงแตวาตองตกอยู

คุณไดเรียนรูเกี่ยวกับเรื่อง เงินๆ ทองๆ มาอยางไรบาง? 

         John เปนผูชายธรรมดาคนนึง เขารูสึกวามันเปนความรับผิดชอบของเขาที่ตองแกไขสถานการณทางการเงินนี้ใหไดแตเขาไมรูวาจะทําอยางไร เขาเปนพนักงานที่ดีแตก็ไม่เหมาะนักที่จะมีกิจการเปนของตนเอง เขาสามารถหางานเสริมมาทําไดแต่มันก็มีรายได้ไมดีนัก Mary เองก็อยากทําหนาที่ของเธอใหดีที่สุดดวยการทํางานและดูแลบาน แตเธอแทบไมมีความรูในการจัดการดานการเงินเลยและที่สําคัญเธออยากใชเวลาอยูกับลูกๆของเธอมากกวา (เพราะตอนนี้พวกเขายังเด็กอยู) 
 John กับ Mary เองก็มีเพื่อนรวมชะตากรรมอยูมากมายไปตองไหนไกลหรอกแถวๆบานพวกเขานั่นแหละ พวกเขามักจะมา   นั่งบนกันถึงเรื่องนี้ไมวาจะเปนตอนไปเที่ยวที่ลานโบลลิ่งหรือไปกินขาวตามรานอาหาร มันเปนเหมือนเรื่องพื้นๆที่ทุกคนก็มีปญหากัน

         ในวันถัดมาหลังจากเลิกงาน John ไปนั่งดื่มอยูกับ Roberto และก็อดไม่ได้ที่จะพดคูยถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ เชนเคย Roberto พูดวา “แกรูไหม John พวกเรามักจะมานั่งบนกันเรื่องมีเงินไมพอใชอยู
เสมอแตไมรูเมื่อไหรพวกเราจะเริ่มลงมือทําอะไรสักอยางกัน เสียที?” “แลวแกจะใหฉันไปทําอะไรละ” John ตอบไป พรอมกับกลาววา “ไอพวกโฆษณาที่มีอยูตาม internet  ก็เปนพวกหลอกลวงทั้งนั้น
อีกอยางนะ ฉันเองก็ยังไมพรอมที่จะไปขายพวกวิตามินหรืออาหารเสริม ใหกับญาติๆหรือคนที่ฉันรูจัก ฉันรูวามีบาง

          คนที่สามารถทําเงินไดจากธุรกิจพวกนี้จริงๆ แตไมรูสิฉันวาฉันไมเหมาะกับงานพวกนี้หรอก” 
“สิ่งที่ดูจะใกลเคียงคำวาเศรษฐีสําหรับฉันมากที่สุดก็ดูเหมือนจะเปนแคในความฝนนะ” John รําพึงรําพัน “ในฝนฉันนะโห...เรามีเงินมากมายอยูในธนาคาร เวลาถึงตาฉันทํากับขาว ฉันสามารถพาแฟนไปกินขาวตามภตตาคารหรู ๆไดอยางสบายเราจะลองเรือสําราญไปเที่ยวยุโรปกัน เราจะไปเที่ยวตามสถานที่ตางๆสักเดือนหนึ่ง สวนพวกเด็กๆก็จะได้รับการดูแลเปนอยางดีอยูในโรงเรียนประจํา ฉันจะไปออกงานสังคมชวยการกุศลและฉันตั้งใจวาจะบริจาคเงินใหโบสถ สําหรับการปรับปรุงและซื้อสิ่งของตางๆเพิ่มเติม พวกเราจะมีความสุขกัน เหมือนคูสามีภรรยาที่เพิ่งแตงงานกันใหมๆเลยทีเดียว” “ก็แลวทําไมแกถึงไดหอเหี่ยวนักละเพื่อน?” Roberto ถาม “ที่จริงนะ ฉันเองควรจะหัดฝนอยางนั้นซะบางฉันนะแยยิ่งกวาแกเยอะเพื่อนเอย ฉันไมเคยฝนเห็นภาพตัวเองรวยอีกเลย!” 

ความผิดหวัง เปนแรงกระตุนใหเกิดการเปลี่ยนแปลง

        “ที่ฉันรูสึกแยก็เพราะวา ทุกครั้งที่ฉันตื่นมานะมันทําใหฉันรูสึกไดถึงความแตกตางและรูสึกว่าตัวเองจนหนักลงไปอีก ฉันวามันคงถึงเวลาแลวละ ที่เราตองทําอะไรสักอยางเกี่ยวกับการเงินของเรา พวกเราเปนเพื่อนกันมาตั้งแตตอนอยู ม.ปลายก็เลนกีฬาทีมเดียวกัน เราไปเที่ยวกินดื่มดวยกัน ทํางานดวยกัน และเราก็ฉลาดพอๆกับทุกๆคนที่เรารูจักนั่นแหละเผลอๆเราจะฉลาดกวาคนสวน

         “พวกเราเองจริงๆก็ทํางานหนักนะแลวเราเองก็เปนพนักงานที่ดีดวย” John พูด “จะวาไปแลวเงินเดือนของพวกเราก็พอใชไดนะแถมเรายังอยูในประเทศที่ร่ํารวยที่สุดในโลกดวย แตเราก็ยังไมคอยมีเงินเหลือเก็บเลยอายุก็ปาเขาไปวัยกลางคนแลวจะ “จริงดวย John ฉันนะไมชอบความรู้สึกแบบนี้เลย    นี่ก็ไมคอยไดเจอหนาลูกๆเลย หลังจากหยาแลวฉันเปนหวงพวกเขาจังเลย ไมใชแคฉ ันอยากใหพวกเขาไดเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆนะแตอยากใหพวกเขามีชีวิตความเปนอยูที่ดีกวาฉันดวย แตก็นะ  

        “ฉันเองก็พยายามที่จะไมค ิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แตมันไมไหวแล้ววะ ฉันวาฉันทําตัวเลื่อนลอยมานานเกินไปแลว” “ฟงนะ John ฉันนะเขาใจความรูสึกของแกดีใจจริงฉันลึกๆแลว ฉันเชื่อวาคนเราทําดีตองไดดีสินา  แนนอนฉันรูวาตัวฉันเองก็ไมได้ดีเลิศอะไรมากมายแตอยางนอยฉันก็ไดแตหวังวาจะตองมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับฉันบางอยางเชนแกถูกลอตเตอรี่แลวแกก็ความฝนก็เหมือนเศษเหรียญที่มีเปนโหลการเอามาปะติดปะตอรวมกันแลวใชจึงจะนับวามีประโยชน 

ธีโอดอรรูสเวลส

         “แกรูไหม Roberto” John กลาวขึ้นมา “เราไมเคยคุยกันเรื่องนี้เลย บางทีเราอาจเปนกําลังใจใหกัน คอยชวยกระตุนใหอีกคน ทําอะไรใหมๆ เหมือนที่คําโบราณเขาวา “ถาเรายังทําแตสิ่งที่เราเคยทํา เราก็จะไดรับแตสิ่งที่เราเคยได” ถาเรายังทําแตสิ่งที่เราเคยทํา เราก็จะไดรับแตสิ่งที่เราเคยได
“อาฮะ” Roberto กลาวตอบ “ฉันก็เคยไดยินมาเหมือนกัน ที่ไอนสไตนเคยพูดถึงนิยามของความบาวาคือการทําอะไรเดิมๆ ซ้ําแลวซ้ําเลาโดยคาดหวังวาจะไดรับผลลัพธที่ตางไปจากเดิม”  “ใชเลยเพื่อนประเด็นอยูที่วา เราตองเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรสักอยางแลวละ ถาเราตองการใหชีวิตเราดีขึ้น”  “John บางครั้งฉันก็รูสึกผิดนิดๆอยูเหมือนกันนะที่คิดจะมีเงินเยอะๆเนี่ย พวกญาติๆของแมก็ลวนแตอยูในสหภาพแรงงาน
ดวยกันทุกคน พวกเขาเคยพูดกันวาคนเรานะถาไมโกง มันก็ไมรวยกันหรอก” ไมเปนไรหรอกถาจะหาเงินเยอะๆหนะ

        “ฉันเขาใจความรูสึกนั้นนะ” John พูดปลอบ “แลวสวนใหญไอพวกคนรวยพวกนั้นนะ มันก็ขี้โกงจริงๆจายเงินเดือนตัวเองซะเยอะเชียว ทั้งๆที่บริษัทจะเจงอยูแลวแตกลับไปขอใหลดจํานวนคนงาน และ เงินเดือนลงดูอยางไอบริษัทที่มันลมละลายลงไปสิ พวกเจาของ หรือ CEO ไมเห็นเปนไรเลยลมบนฟูกทั้งนั้น ” 

         “บางทีนะ สิ่งแรกที่พวกเราควรทําก็คือการทําความเขาใจเสียไหมวาการมีเงินเยอะๆนั้นเปนเรื่องธรรมดา นั่นเปนทางเดียวที่เราจะชวยเหลือซึ่งกันและกันได อีกทางหนึ่งก็คือการใชเวลาเขาไปคลุกคลี
อยูกับคนที่มีเงินใหมากๆ ที่ผานมาพวกเรามักจะไปใชระบบเพื่อนคูหูเปนตัวคอยกระตุนและใหกําลังใจซึ่งกันและกัน  “เอางี้ John วันกอนเจอฉันเพิ่งเจอกับ Bob Kozlowski มา เขาเปนคนเดียวที่อยูในละแวกนี้เลยละมั้ง ที่ดูเหมือนจะประสบความสําเร็จจริงๆ เขามีบริษัทเปนของตัวเองและก็มีอัธยาศัยดีดวยเราไปขอคําแนะนําจากเขากันดีกวา   ”หลายๆคนมักเขาใจผิดไปวาการที่จะเปนคนรวยไดนั้น ก็คือตองใหคนอื่นเปนคนจน (คิดแบบ zero sum game คือ กําไรของเรา คือ ขาดทุนของคนอื่น) หรือคิดไปเองวาความมั่งคั่งของเรา ตองมาจากความยากแคนของคนอื่น ซึ่งจริงๆแลวมันไมใชอยางนั้น  ยิ่งเรามีความสามารถในการสรางผลผลิตมาขึ้นเทาไหร พวกเราทุกคนก็ยิ่งมีสิ่งตางๆ มาแบงปนกันมากขึ้น  ดูตัวอยางไดจากตลาดหุน  ราคาหุนสามารถสูงขึ้นไปไดเรื่อยๆตราบใดที่บรษิัทยังรักษาระดับในการผลิต และความสามารถในการทํากําไรใหดีขึ้นไปไดเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในระยะยาวแลวจะไมมีใครตองเสียเงินหรือขาดทุนเลย

         "เปนความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก Roberto เขาสมควรแลวละ ที่เปนคนที่รวยที่สุดในเมืองนี้ไดยินมาวา เขาเคยทํางานเกี่ยวกับที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจใหกับทางราชการดวยนะ เราตองหาแนวทางใหมๆ บางทีเขานาจะชวยพวกเราไดถาเขาพอจะมีเวลาบาง" จงไปหาที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ
 "ฉันเองก็เคยสงสัยอยูเหมือนกันนะวาที่เราไมมีเงินกันอยูทุกวันนี้เปนเพราะเราไมไดพยายามที่จะหาเงินอยางจริงจังหรือเปลา? เราประสบความสําเร็จในหนาที่การงานก็เพราะวาเรามุงมั่น และตองการใหมันเปนอยางนั้นบางทีเราอาจจะประสบความสําเร็จในเรื่องการเงินดวยก็ได  ถาเรามีความตั้งใจจริงและการที่เราไปขอคําแนะนําจากคนที่เขาประสบความสําเร็จอยูแลวเนี่ย ฉันวาเปนจุดเริ่มตนที่ดีมากเลยล่ะ ถายังไงเดี๋ยวเราไปนัดเจอ Bob กันดีกว่า

ความลับของความกาวหนาอยูที่การเริ่มลงมือทํา 

MARK TWAIN

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...