วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทุกอย่างต้องมีเวลาของมัน






ผมได้อ่านเรื่องราวของอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็รู้สึกว่าท่านน่าสนใจมาก ท่านเป็นนักเขียนการ์ตูนของญี่ปุ่นท่านมีชื่อว่า. Mizuki Shigeru คือผู้วาดการ์ตูน “อสูรน้อยคิทาโร่” อันโด่งดัง

ท่านมีเคล็ดลับในการ “สนุก” กับชีวิตดังต่อไปนี้

1.อย่ายึดการแพ้ชนะ ความสำเร็จ
หรือชื่อเสียงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน

2. ทำสิ่งที่ “อดไม่ทำไม่ได้" หาสิ่งที่รักให้เจอจะเป็นการเล่นเกม อ่านการ์ตูน อะไรก็ได้และอย่าลืมทำสิ่งนั้น ทำเป็นงานอดิเรกก็ได้เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและมีความสุข

3. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นจงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองสนุกกับชีวิต

4.เชื่อมั่นในพลังของการรักในสิ่งทีทำ ความเชื่อมั่นและความรักในสิ่งที่ทำนี้เอง ที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จ

5.ความสามารถกับรายได้ เป็นเรื่องคนละเรื่องและรำลึกไว้ว่า ความมานะพยายาม ก็อาจหักหลังเราได้เช่นกันไม่ใช่ว่า หากมีความสามารถหรือขยันแล้วจะมีรายได้สูงเสมอไปการมุมานะพยายามฝึกปรือจนเกิดทักษะต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญแต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วย เวลาผิดพลาดอะไรจะได้ไม่รู้สึกเหมือนโลกนี้พังทลาย

6.จงขี้เกียจบ้าง  รู้จักพักบ้าง อย่ามุมานะทำงานหนักจนเกินไป
เดี๋ยวชีวิตจะไม่สนุก

7.เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา เชื่อมั่นในความสัมพันธ์กับผู้อื่นพลังของคำพูด อารมณ์ความรู้สึกและสิ่งที่ทำให้จิตใจเรางดงาม

ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นมาทันตาเห็น แต่มันเกิดจากการที่เราลงมือ ลงแรงทำมันอย่างไม่ย้อท้อต่างหากละครับ จงเชื่อมั่นในตัวคุณ ว่าคุณนั้นคือผู้วิเศษที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งได้ คุณเป็นคนมีความสามารถและทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ เมื่อล้มก็ลุกขึ้นมาอีก เมื่้อท้อหรือเจออุปสรรคก็คิดถึงเป้าหมายและความสำเร็จที่รออยู่ ชีวิตมันง่ายอย่างนี้ละครับ

ทิศทางการค้าขายกับจีน




วันนี้ผมคุยทิศทางการค้าขายชายแดนกับเพื่อนคนจีนคนหนึ่งในเรื่องทิศทางประเทศไทยในการสร้างรถไฟฟ้า
โลกยุคใหม่หรือทุนนิยมมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะมนุษย์มีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไลฟ์สไตส์ะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จะเห็นได้ว่าโดยเฉพาะสังคมไทยเราที่ตามกระแสเป็นอย่างมากจนบางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำไปแล้วว่า อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของเรา เข้าเรื่องดีกว่าครับผมพูดซะยาว  ผมถามเพื่อนว่า

คำถาม ทำต้องเป็นหนองคาย ?

ในมุมมองของเพื่อนคนจีนพูดถึงประเด็นนี้ก็คือ เพราะสามารถวิ่งตรงจากไทย ลาว วิ่งสู่จีนซึ่งเป็นการค้าขายทางทะเลได้เป็นอย่างดี อีกอย่างต้นทุนในการสร้างทางรถไฟฟ้าประหยัดเนื้องจากลาวเป็นพื้นที่ลาบลุ่มไม่ผ่านภูเขาถ้าเทียบกับทางเหนือซึ่งมีภูเขาเยอะต้นทุนในการสร้างมีความลำบาก และมีต้นทุนสูงหากต้องขุดเจาะภูเขาย่อมเป็นไปได้แต่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

ผลดีที่ ไทย ลาว ได้ คือ ไทยได้สินค้ารวดเร็วขึ้น จีนได้ผลประโยชน์ทางการค้า ลาวมีโรงงานและก่อให้เกิดการจ้างแรงงาน

ผมถามต่อว่า การค้าชายแดนที่สามเหลี่ยมทองคำ คุณเห็นว่าไง ?
เขาบอกว่ามันเป็นตลาดเล็กไม่เหมาะกับการลงทุนขนาดใหญ่ การขนส่งต้องทางบกเท่านั้น ซึ่งในมุมมองของทางจีนไม่ใช่เป้าหมายยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากคุณหมิงไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจ และสามเหลี่ยมทองคำไม่สามารถสร้างท่าเรือเทียบท่าได้

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราคุยกันบางอย่างก็นำมาเล่าไม่ได้จริงๆครับ แต่ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นได้ว่าทางเรือยังสำคัญที่สุดในความเห็นของผมเเละเพื่อน สังเกตุได้จากประเทศที่มียุทธศาสตร์ทางเรือ เช่น สิงค์โปร์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ยังไงก็ฝากเป็นแง่คิดสำหรับนักธุรกิจที่สนใจด้านการขนส่งนะครับ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ดำเนินชีวิตให้มีแบบแผน



หลักในการดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน
1.หนักแน่น คือหนักแน่นในเป้าหมายและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น อย่ามองทุกคนเป็นคู่แข่งแต่คืออาจารย์เพื่อให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้น

2.ความมุมานะ ปัญหาและอุปสรรค์แค่บททดสอบอย่าได้ท้อหรือมองว่าเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เพราะความมานะพยายามพารเพียรจนสำเร็จในที่สุด

3.ความจริงใจ คุณสมัตินี้สำคัญที่สุดต้องชัดเจน จริงใจ และรักษาคำพูด

4.มีน้ำใจเผื้อแผ่ผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเราอย่าเป็นคนใจแคบ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว สุดท้ายภัยจะเข้ามาหาตัวเรา

5.ความอดทนอดกลั้น ใช้สติในการแก้ปัญหา มีเหตุผลให้มากอย่าใช้แต่อารมณ์ในการแก้ปัญหา

6.มีคุณธรรมประจำใจ ที่ใดมีธรรมที่นั่นมีกิน จงเป็นผู้ให็มีศีลมีธรรม เลือกคบแต่คนดีๆ สิ่งดีๆที่เราที่จะปรากฎให้เห็น

7.อย่าคาดหวัง เวลาทำอะไรให้ทำให้ดีที่สุดและอย่าคาดหวังกับผลลัพธ์ บางครั้งระหว่างการสร้างมิตรภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน

            ผมเลือกที่จะเดินให้ช้าลง ใช้ปัญญาและหาสิ่งที่รักและลงมือทำความฝันของตัวเองเป็นที่ตั้ง มองทุกอย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตให้เหมือนกับสายน้ำ ธรรมชาติมักมีความงดงามซ่อนอยู่เสมอ ก็เปรียบเหมือนชีวิตมนุษย์เราแหละครับ มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างเป็นของธรรมดา เป้าหมายของแต่ละคนจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเราเอาชนะใจตัวเองได้หรือยัง ฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ฟ้าใหม่


ช่วงนี้หยุดยาวเลยผมเชื่อว่าหลายคนคงชอบเพราะการได้หยุดยาวก็คือ
การที่เราได้พักผ่อนจิตใจ ได้อยู่กับครอบครัวมีเวลารีเร็กตัวเราเอง
หลังพายุโหมกระหน่ำ หรือเจอมรสุมชีวิตมาพอหอมปากหอมคอชีวิต
มักจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ แท้ที่จริงมันก็แคีบททดสอบเท่านั้นเอง
 
เพื่อให้เราก้าวข้ามมันไปให้ได้แค่รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีสติและพร้อมที่จะเผชิญ
หน้ากับมันอย่างหาญกล้า ตัวเราทุกคนมีของวิเศษอยู่ในตัวพลังอำนาจแฝง
ดึงพลังงานแฝงออกมาใช้ ผมเชื่อว่ามันมีค่ามากเวลาที่ขับขัน มองไปมองมา
รอบๆ ตัวเรา ก็มีแต่สิ่งดีๆให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย การเรียนรู้จะทำให้เรา
ก้าวไปข้างหน้าอย่าไม่หยุดยั้ง

จงให้และเสียสละกับผู้คน เลี้ยงดูบิดามารดา ญาติมิตรสหายให้มีแต่ความสุข
อย่าได้กังวลไปเมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ดี เทวดาฟ้าดินเห็น รักและเคารพเทิดทูลบูชา
ตัวเอง และผู้อื่นให้มากๆ โอกาสวิ่งหาสำหรับคนที่วิ่งหามันเท่านั้น

การตัดสินใจที่เด็ดขาดแน่นอน และมีความชัดเจนย่อมทำให้มองเห็นทางไปได้เสมอ
ตั้งใจ มุ่งมั่น และจดจ่ออยู่กับมันอย่างเต็มที่ ขอเพียงไม่ยอมแพ้สิ่งที่มุ่งหวังไว้ย่อม
เป็นจริงอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไม่มีอะไรในความว่าง






จงคิดก่อนพูดเสมอ การพูดอะไรไม่รู้จักคิดย่อมนำพาภัยมาสู่ตัวเอง การที่ผมใจร้อนพูดอะไร
ไม่คิดบางครั้งย่อมนำพาความจริง ตัวเรานั้นแหละที่สร้างปัญหาจะหยุดปัญหานี้ได้ ก็คือ การโต้ตอบ
อย่างชาญฉลาด

คำถามคือ ชาญฉลาดยังไงนะหรือ ฟังก่อนแล้วคิด คิดก่อนพูด รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม เมื่อถึงเวลา
ที่เหมาะสมก็ไปต่อเลย การโต้ตอบแบบคนมีปัญญาและมีสติ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีน้ำใจนักกีฬา

จงเอาชนะความโกรธให้ได้ อย่าไปสนใจปัญหาเล็กน้อยมุ่งไปที่เป้าหมาย อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย ความสำเร็จเกิดจากการลงมือทำ หาใช่การเอาแต่คิดแต่ไม่ทำ ตั้งใจฝึกฝน เรียนรู้ ฝึกฝนนำความรู้ความสามารถ
ที่มีใช้แก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ

ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ จงเผชิญหน้าอย่ามีสติสัมปชัญญะ ลดทิฐิมานะของตัวเองลงบ้าง เราก็แค่สิ่ง
มีชีวิตไม่มีตัวมีตน อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรให้มันมาก มีคติหนึ่งที่ผมจำขึ้นใจเสมอ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์
นั้นถึงตัว 

ชีวิตคือการเดินทาง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นของธรรมดาสามัญ อย่าไปถือหรือแบกอะไรไว้เลยคุณเคย
เห็นใจเวลามันเบาๆไหม มันจะโล่ง เบาสบาย ดูแลรักษาใจตัวเองให้ดีอย่าให้ใครมาดูถูกย่ำยีหัวใจอันบริสุทธิ์เราได้ นักรบที่กล้าหาญมีบาดแผลมากมายฉันใด ชัยชนะที่หอมหวานก็เข้าใกล้ฉันนั้น

ความเป็นจริงของชีวิต



ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ธรรมชาติมักจะสอนบทเรียนให้กับมนุษย์เสมอ
การทำอะไรเราก็ต้องรู้จักอดทนอดกลั้น เมื่อหาช่องทางหรือจังหวะได้แล้วให้ตัดสินใจไปเลย
การทำอะไรผิดพลาดแท้จริงมิใช่ความผิดพลาดแต่มันคือการเรียนรู้เพื่อให้เราเติบโต จากจุด
หนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เมื่เขาเป็นไฟเราจงเป็นน้ำนิ่ง การนิ่งไม่ได้หมายถึงการไม่โต้ตอบ แค่รอจังหวะ
ต่างหาก หรือที่เรียกว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า

เวลาที่ใจเราเบาๆ ไม่ว่าจะคิดทำอะไรมันก็ดีไปหมด หรือที่เรียกว่า "การเห็นถูก" เมื่อเห็นถูกจิตใจ
เราก็สามารถแยกแยะเหตุและผลได้ดี เมื่อความกลัวมาย่ำกลาย การเผชิญหน้าอย่างนักรบเท่านั้น
ที่จะทำให้เราอยู่รอด การศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจอย่างเป็นขั้นตอน ความกลัวก็จะค่อยๆหายไปเราทุกคนมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง และต่างก็ต้องการไปให้ถึงเป้าหมายนั้น

ชีวิตมักจะต้องมีบททดสอบเสมอ เมื่อคุณเรียนรู้จนถึงที่สุดเมื่อทุกอย่างจะเปิดทางให้คุณเอง
ความเชื่อ คือตัวกำหนดทุกอย่างของมนุษย์ เมื่อคุณมีความเชื่อแบบไหนคุณจะลงมือทำแบบนั้น
ความสำเร็จเกิดจากการลงมือทำ แต่การจะรักษาให้มันอยู่กับเราให้นานที่สุดนั้นยากกว่า ต้องใช้การฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่าสม่ำเสมอ รู้จักมองการณ์ไกลและคาดการณ์ต่างๆไว้ล่วงหน้า คิดทางเลือกไว้หลายๆช่องทาง ศึกษาให้รอบคอบต้องมีแผนสำรองเสมอ

ฝึกคิดนอกกรอบและทำนอกกรอบ ใช้สติและสัญชาตญานเป็นตัวนำทางเรา ทำให้สิ่งที่แตกต่างและทำให้ดีที่สุดอย่าไปคาดหวัง แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้องและทำให้เต็มที่ ความสำเร็จมันก็เรียบง่ายแบบนี้แหละ

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไม่มีใครดีไปหมดทุกอย่าง

บางทีตัวเราก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อน เที่ยวตำหนิคนนั้น คนนี่
แท้จริงตัวปัญหาคือเรา จบสงบปาก สงบคำซะบ้าง

ผมได้ยินประโยคนี้จากท่านอาจารย์ชาที่ท่านเคยพูดไว้ครั้งหนึ่ง
ตอนตำหนิลูกศิษย์ลูกหาในวัด ผมลองมามองตัวเองแท้จริงเรา
ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนเลย เอาแต่เพ็งเล็งคนอื่นแท้จริงตัว
เรานั้นแหละที่น่าตำหนิเอามากๆ 

ผมทราบด้วยตัวผมเองและสัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น
จงจำไว้ว่าอย่าทำงานเอาหน้า เพราะในท้ายที่สุดเมื่อถูกถอดหน้ากาก
ทุกคนจะรู้เอง จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ตั้งใจทำงานให้มากๆ
เพราะความรู้ หรือเรื่องที่เราได้เรียนรู้ได้ศึกษาล้วนแล้วแต่นำพาประโยชน์
ให้เราได้ในระยะยาวได้ แทนที่จะเอาเวลามาตำหนิคนอื่น ลองมองหา
ประโยชน์จากเขา จงเลือกมองแต่ข้อดีของเขา เพราะตัวเราก็ไม่ได้ดีมากพอ

ชีวิตไม่ว่าจะเจออะไรคุณต้องรู้จักอดทนอดกลั้นอย่าย่อท้อและอ่อนแอ
ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ ใครไม่เห็นตัวเราเห็น และรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
สักวันเราต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดีอย่าอายใคร

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทละครของชีวิต


ชีวิตเราทุกคนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ที่ต้องทำกัน ตั้งแต่เกิดไปจนตาย
หากเรามองกันดีๆทุกชนชาติ ศาสนาล้วนแล้วแต่ต้องทำบทบาทหน้า
ที่ของตัวเองให้มันดีที่สุด ต่างกันตรงที่ผู้กำกับบทละครชีวิตก็คือ กรรม
ทุกอย่างล้วนมีปัจจัยเกื้อหนุนกันทั้งนั้น หากจะมองกันให้ดีเมื่อก่อนที่โลก
ยังไม่เข้าสู่ยุคทุนนิยมที่เงินทองเข้ามามีอำนาจเหนือทุกสิ่งอย่างจนบางครั้ง
ถึงกับต้องฆ่าล้างทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิต

เมื่อม้องย้อนกับไปในวิถีชีวิตและสังคมในอดีตทุกคนต่างทำมาเลี้ยงชีวิต
เพื่อความอยู่รอดและผาสุข สันติภาพที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นเมื่อโลกเปลี่ยนทุกคน
ล้วนแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองจนเราลืมอะไรบางอย่างไป นั่นก็คือ
คุณก็ต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี ไม่มีอะไรเป็นแก่นแท้

ทุกสรรพสิ่งมนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย แต่ในท้ายที่สุดธรรมชาติมักจะ
สร้างสมดุลให้กับสรรพสิ่งเสมอ เราไม่สามารถลบล้างกฎธรรมชาติไปได้
การทำตัวเหนือโลก หรือแบกโลกไว้ย่อมไม่มีอะไรดีหรอกครับ ปล่อยให้หัวใจ
คุณกลับสู่บ้านที่แท้จริง บ้านที่เราเคยจากมาคืนสู่ธรรมชาติของจิตที่มีแต่ความ
ว่างเปล่า เมื่อความต้องการของเราน้อยลงเราก็จะเห็นอะไรมากขึ้น หรือที่เรียกว่า
การเห็นถูกหรือเห็นตามความเป็นจริงอย่างที่มันควรจะเป็น

ไม่มีเงื่อนไขของสิ่งใดทั้งนั้นที่จะทำให้มนุษย์อยากเราจะพบกับความสุขที่แท้จริง
การคาดหวัง ความรัก ความต้องการล้วนสร้างทุกข์ทั้งนั้น การมองชีวิตอย่างที่มัน
ควรจะเป็นเลือกทางเดินในแบบที่เหมาะกับตัวเรา และความปรารถนาของใจเรา
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ความสุขย่อมเกิดขึ้นกับเราได้เอง การสร้างสรรสังคมให้
น่าอยู่การรู้จักเสียสละและให้กับผู้คน ให้ความรัก ความสุข รอยยิ้มหรืออะไรก็แล้ว
แต่ผู้ให้ย่อมได้รับในสิ่งนั้นกลับมาอย่างแน่นอน

ทุกสิ่งคุณเท่านั้นที่รู้ดี

นานมากแล้วครับที่ผมไม่เคยนอนสูดอากาศใต้ต้นไม้
ชีวิตในเมืองใหญ่ช่างวุ่นวาย ความครียดที่รุ่มเร้าทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
นับวันเรายิ่งห่างจากตัวเราและความฝันของเราไปทุกที
บางครั้งมันคงถึงเวลาที่เราต้องมานั่งทบทวนกันใหม่ได้แล้วครับว่า
เรากำลังวิ่งตามอะไรกันอยู่. สิ่งที่เรากำลังวิ่งหาอยู่นั้นนำพาความสุข
ที่แท้จริงมาสู่เราแน่นะ

ผมเคยคิดเสมอว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต มิใช่การตกเป็นทาสของวัตถุ
หรือสิ่งต่างๆที่มนุษย์เราสร้างและคิดกันไปเองว่ามันคือสิ่งวิเศษ มองกันตาม
ความเป็นจริงมันก็แค่ความสุขจอมปลอมที่ทุกคนวิ่งหากันจนไม่ลืมหูลืมตา
ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา บางอย่างถ้าเราไม่รู้จักใช้สติให้ดี สิ่งที่ได้มาอาจเป็น
ดาบสองคมที่กลับมาทำร้ายเราในที่สุด

ไม่มีใครผิด หรือไม่มีอะไรถูกผิดเที่ยงแท้แน่นอนสำหรับโลกใบนี้ครับ ถึงเวลาแล้ว
ที่เราควรหาเวลาว่าง สถานที่สงบๆเพื่อกลับเข้ามาสะสางขยะในใจเรา กลับไปทำความ
สะอาดของใจเราให้มากขึ้น เมื่อใจสว่างใจสงบ ความสุขอยู่รอบตัวไม่ต้องวิ่งตามหาที่ไหน

คนเราเกิดมาอยากเป็น หรือทำอะไรตามใจเราย่อมเป็นไปได้ทั้งหมดแหละครับ
ความกลัวก็แค่ความไม่รู้เท่านั้น หากกลัวเรื่องไหนก็แค่ศึกษาทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้มากๆ
ในที่สุดความกลัวจะหายไป ความสำเร็จจะเข้ามาแทนที่ อยู่กับความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน
อย่าเอาอดีตมาหวนหา อย่าเอาอนาคตมากังวลมันจะทำให้เราเป็นทุกข์ ชีวิตจะหาความสุขไม่ได้
ให้จำไว้เลยว่าทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ แน่นอนอะไรก็เกิดขึ้นได้ ขอเพียงยอมรับมันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จิตใจของนักสู้และผู้เข็มแข็งเท่านั้นที่จะฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ นาๆ ได้

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พูดดีเป็นศรีแก่ปาก

คำพูดสำคัญมากครับ มีคำพูดหนึ่งที่ผมประทับใจมากพูดไว้ว่า
จงรู้ทุกอย่างที่พูด มิใช่พูดทุกอย่างที่รู้
คำพูดก็เปรียบเสมือนดาบสองคมนะครับบางครั้งมันก็แทงเราได้เหมือนกัน
ผมมีเคล็ดในการพูดมานำเสนอครับ

1.หากเรื่องนั้นเราไม่รู้จริงก็อย่าพูดหากจำเป็นต้องพูดก็อ้างตัวนิดครับ
2.เรื่องที่ไม่สร้างประโยชน์ให้ผู้คนอย่าพูดเพราะไม่ก่อประโยชน์ยังเป็นภัยต่อตัวอีก
3.พูดแต่เรื่องที่สร้างสรรค์ ความคิดนั้นสำคัญเรารู้ได้จากทัศนคติของเขา
4.การเลือกผู้ฟังก็สำคัญบางคนฟังเพื่อเกิดปัญญา บางคนฟังเพื่อความเพลิดเพลิน บางคนฟังแล้วมีจิตริษยา
5.คิดก่อนพูดนั้นสำคัญถึงจะมีประโยชน์แต่ไม่ถึงเวลาอย่าพูด
6.ถูกที่ ถูกเวลา พูดอะไรควรดูสถานที่และเวลาด้วยครับจำเป็นมาก
7.พูดแต่ความจริงเท่านั้น อย่าเป็นพวกเด็กเลี้ยงแกะ
8.จงใช้สติทุกครั้งไม่ว่าก่อน ขณะพูด หรือหลังพูด
9.อย่าประหม่าเวลาพูดหากเป็นเรื่องจริงและถูกต้องเต็มที่กับมัน
10.นักพูดที่ดีต้องเป็นฟังที่ดีด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่





ช่วงนี้ชีวิตผมบอกไม่ถูกว่าควรจะทุกข์ดีหรือไม่ บางครั้งมันก็ดีเหมือนกันนะครับ
ที่ชีวิตได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ มันทำให้ผมมีสติมากยิ่งขึ้นรู้ว่าสิ่งไหนควรที่จะทำต่อ
หรือควรหยุดทบทวนตัวเองเสียที ธรรมชาติของมนุษย์คุณเชื่อไหมว่าตัวคุณนั้นแหละ
ที่ไปรับมันเข้ามา เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลยถ้าคุณไม่ไปก่อไฟไว้

แต่จำไว้นะครับว่าคนที่ต้องแก้ปัญหาได้ดีที่สุดก็คือตัวคุณเองอย่าได้เที่ยวไปปรึกษาใครต่อ
ใครเลย การอดทนต่อบางสิ่งบางอย่างหรือที่เรียกว่า นิวรณ์ทั้งหลายถ้าคุณก้าวข้ามมันไปได้
จิตใจคุณก็คือพระราชาผู้ยิ่งใจ ที่ทรงทศพิษราชธรรม ในอนาคตคุณจะกลายเป็นบุคคลที่นับ
หน้าถือตามีบารมีสูงส่ง หาผู้ใดเสมอเทียมทานได้

เคยมีคำกล่าวไว้คำหนึ่งครับที่ผมชอบมาก เป็นบทกลอนของกวีเอกคนอเมริกันกล่าวไว้ว่า

จงอดทน ต่อราตรีกาล พายุ ความหิว
คำเยาะเย้ย อุบัติเหตุ ความผิดหวัง
ทำนองเดียวกับต้นไม้และสัตว์เดียรัจฉาน

โอกาสกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า


ช่วงนี้ชีวิตผมบอกไม่ถูกว่าควรจะทุกข์ดีหรือไม่ บางครั้งมันก็ดีเหมือนกันนะครับ
ที่ชีวิตได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ มันทำให้ผมมีสติมากยิ่งขึ้นรู้ว่าสิ่งไหนควรที่จะทำต่อ
หรือควรหยุดทบทวนตัวเองเสียที ธรรมชาติของมนุษย์คุณเชื่อไหมว่าตัวคุณนั้นแหละ
ที่ไปรับมันเข้ามา เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลยถ้าคุณไม่ไปก่อไฟไว้

แต่จำไว้นะครับว่าคนที่ต้องแก้ปัญหาได้ดีที่สุดก็คือตัวคุณเองอย่าได้เที่ยวไปปรึกษาใครต่อ
ใครเลย การอดทนต่อบางสิ่งบางอย่างหรือที่เรียกว่า นิวรณ์ทั้งหลายถ้าคุณก้าวข้ามมันไปได้
จิตใจคุณก็คือพระราชาผู้ยิ่งใจ ที่ทรงทศพิษราชธรรม ในอนาคตคุณจะกลายเป็นบุคคลที่นับ
หน้าถือตามีบารมีสูงส่ง หาผู้ใดเสมอเทียมทานได้

เคยมีคำกล่าวไว้คำหนึ่งครับที่ผมชอบมาก เป็นบทกลอนของกวีเอกคนอเมริกันกล่าวไว้ว่า

จงอดทน ต่อราตรีกาล พายุ ความหิว
คำเยาะเย้ย อุบัติเหตุ ความผิดหวัง
ทำนองเดียวกับต้นไม้และสัตว์เดียรัจฉาน

ยังไงความดีต้องเอาชนะทุกอย่าอยู่แล้วเดินหน้าต่อไปอย่าได้ท้อถอยผมเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ


วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อคุณโตขึ้นคุณต้องเข้าใจและยอมรับสิ่งเหล่านี้



ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเรื่องแปลกแต่จริง
เมื่อโตขึ้นก็ทำให้เข้าใจความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป
เราไม่สามารถบอกเรื่องๆเดียวให้คน 10 คน เข้าใจในเรื่องเดียวกันได้
คนแต่ละคนความสนใจไม่เหมือนกัน  มีเป้าหมายและทิศทาง
ในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไป  

เมื่อก่อนเราคิดว่าเรายังอ่อนหัดแต่พอโตขึ้นเรารู้ได้เลยว่า
ตัวเราเองก็ไม่ได้อ่อนหัด เพียงแต่ต้องรู้จักรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้นเอง
บางจังหวะของชีวิตเมื่อเราเลือกสิ่งหนึ่งเราก็ต้องเสียอีกสิ่งหนึ่ง
ไม่มีทางที่เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการ  มันเป็นเรื่องธรรมดา

ข้อสำคัญและหลักในการดำเนินชีวิต

1.จงอย่าหยุดเดินไปข้างหน้าเพื่อตามหาความฝันของตัวเอง
2.จงรับฟังคนอื่นด้วยความเข้าใจในเหตุผลของเขา
3.จงเลือกทางที่คุณแน่ใจว่าคุณไปถูกทางแล้ว
4.จงยอมรับความแตกต่างและเข้าใจในความแตกต่างนั้น

เวลาจะพูดอะไร  ให้คิดหลายๆตลบ  ปล่อยเขาคิด ถากถางไปก่อน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็เดินตามความฝันของเราเลย อย่าไปสนใจอะไรทั้งสิ้น  การเงียบ
คือการสอบทานเสียงหัวใจของเราว่าเราเดินมาถูกแล้ว  คิดถูกแล้ว

ปลายทางของอุโมงค์ยังมีแสงสว่างขอแค่ให้คุณกล้าเดินไปเท่านั้นเอง รับผิดชอบตัวเอง
อย่างสร้างสรรค์  และเดินตามนั้นอย่าไม่ลังเลใจ  ลงมือทำคือหัวใจของความสำเร็จครับ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อยู่ที่คุณจะเลือกมัน






ทุกสิ่งที่เราทำหาใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นโชคชะตากำหนดไว้ หรือชาวพุทธเราเรียกว่า"กรรม"
เรื่องกรรมเป็นสิ่งที่พูดไว้ยากคนแต่ละคนทำกรรมมาไม่เหมือนกันเพราะเหตุอย่างนี้ๆจึงทำให้
ส่งผลไปในทิศทางอย่างนี้ 

อย่าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย จงคิดแต่เรื่องใหญ่ๆ เรื่องที่ทำให้เกิดประโบยน์ตนและประโยชน์ท่าน
คุณเชื่อไหมว่าความคิด ทัศนคติจึงเป็นตัวกำหนดแผนการเดินทางของเราให้เดินไปข้างหน้า
เก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจเพื่อรอรับสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น จงอย่าท้อ
ให้อดทนและเดินไปข้างหน้าต่อ 

ชีวิตก็เท่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ขอแค่ทำดีให้มากๆกฎธรรมชาติก็บอกไว้แล้วว่า
ถ้าเราเป็นคนดี เดี๋ยวคนไม่ดีจะเดินจากเราไปเอง
ถ้าเราเป็นคนไม่ดี คนดีๆก็จะหายจากเราไปเอง
กฏง่ายๆที่ลงตัว คิดจะเป็นพญาอินทรีย์บางครั้งมันก็ต้องแกร่งกันบ้างทุกอย่างมิใช่ได้มาง่ายๆ

ในเวลาที่คุณกำลังหาทางออกอะไรสักอย่างให้คุณกลับมาทบทวนตัวเองแบบหมดเปลือกสำรวจ
ตัวเองให้แจ่มแจ้ง ว่าชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ เราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร และจะไปจุดไหนเมื่อรู้ทิศทางของตัวเองชัดเจนก็อย่าเสียเวลากับสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเราดีกว่า จำไว้ว่าทุกการตัดสินใจล้วนส่งผลต่ออนาคตของคุณอย่างแน่นอนครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คลื่นทะเลของชีวิต


สองวันกับการเดินทาง ผมเดินทางไปเที่ยวชะอำจังหวัดเพรชบุรี ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ
ยิ่งวันคืนเปลี่ยนไปอะไรๆก็เปลี่ยนแปลง ผมเคยลองถามตัวเองนะว่าเพราะอะไรชีวิต
ถึงไปไม่ถึงตามที่หวังสักที แต่ความจริงการยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้าต่างหาก
คือสิ่งที่สำคัญ เราอาจโทษนั่นโทษนี่ โทษโชคชะตากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรา

ชีวิตก็คล้ายกับคลื่นทะเลนั้นแหละครับใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ปัญหาหนักๆที่ซัดเข้ามาแท้จริง
ก็ไม่มีอะไรเพราะในที่สุดเมื่อใกล้ถึงฝั่งคลื่นนั้นก็หายไป บททดสอบที่ยิ่งใหญ่คือการเรียนรู้
ที่จะทำใจและยอมกับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องไม่ท้อและก้าว
ไปข้างหน้า 

จุดหมายปลายทางของความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของการเพ้อฝัน แต่มันคือการเดินไปตาม
ความฝันและลงมือทำไปพร้อมๆกัน ทุกความสำเร็จเล็กๆน้อยๆหรือความล้มเหลวล้วน
แล้วแต่คือยาวิเศษที่จะพาคุณไปถึงเป้าหมายและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงอดทน
รออีกสักนิดๆ เมื่อผ่านมันไปแล้วทุกอย่างจะเปิดทางให้เราเอง

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จดหมายเตือนสติ


ผมอ่านเจอบทความนี้เเล้วรู้สึกถึงความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันมาก  เหตุการณ์บางอยุ่างเราควบคุมไม่ได้แต่เราเลือกที่จะเดินตามชีวิตของเราได้  ดังคำกล่าวที่ว่า "ขยันผิดที่สิบปีก็ไม่รวย" เป็นเรื่อง  ผมไม่โทษเขาหรือใครหรอก  เราและเขาคงมีเหตุผลของตัวเขาเอง

เราทำดี คิดดี พูดดี  ย่อมได้รับแต่สิ่งดีๆ
คนคิดไม่ดี  ทำไม่ดี  สักวันก็ต้องได้รับสิ่งนั้นตอบสนอง

การมีสติอดทนรอเวลาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  ความสำเร็จและแสงสว่างที่ปลายทางย่อมตามมาครับ  เพื่อนๆลองอ่านดูดครับ


ถึง...ตุลย์....ลูกรัก
       
       ลูกปรารภกับพ่อว่า แม้จะทำตามสังคหวัตถุธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นแล้ว ลูกน้องก็ยังไม่มีความกลมเกลียวในการทำงานร่วมกัน บ่อยครั้งที่งานได้ผลไม่ตรงตามเป้าหมาย ถูกตำหนิจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องเสมอ เพื่อนๆก็บอกว่า ลูกมีอคติในการทำงาน ขาดความยุติธรรมในหน่วยงาน แต่ลูกคิดเสมอว่า ได้ทำงานอย่างยุติธรรมเสมอมา ให้คุณให้โทษแก่ผู้ร่วมงานไปตามความรับผิดชอบ เช่นนี้แล้วทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดความยุติธรรมอย่างแท้จริง
       
       เมื่อพูดถึงความยุติธรรม สิ่งที่เป็นปรปักษ์ก็คือ “อคติ” ความลำเอียง ซึ่งมีอยู่ประจำในอัธยาศัยของคนเรา หลายคนอาจแสดงออกมาโดยไม่รู้สึกตัว พ่อแม่มักจะบอกว่า รักลูกเสมอกันทุกคน แต่ลูกบางคนก็ยังมีความรู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ครูสอนหนังสือให้นักเรียนด้วยความเสมอภาคในด้านวิชาการ แต่ศิษย์บางคนมักบอกว่า ครูสอนนักเรียนที่นอบน้อมและขยันมากกว่า ส่วนหัวหน้างานอย่างลูกก็บอกว่า ให้การปกครองลูกน้องอย่างยุติธรรม แต่ลูกน้องบางคนก็บอกว่า หัวหน้ามักชอบใช้คนที่สั่งงานง่าย ไม่ฟังเหตุผลของคนที่ชอบแสดงความคิดเห็น
       
       นี่เป็นธรรมชาติในการอยู่ร่วมกันของคนเรา แม้จะมีสังคหวัตถุธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการอยู่ร่วมกันแล้ว ผู้เป็นใหญ่เช่นพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือหัวหน้างาน จักต้องสำรวจจิตใจของตนเองให้ปราศจากอคติอยู่เสมอ ความยุติธรรมในการปฏิบัติสังคหวัตถุธรรมก็จะบังเกิดขึ้น นำความยึดเหนี่ยวจิตใจซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้นและคงอยู่เสมอไป
       
       พ่อจะบอกให้ว่า “อคติ” ความลำเอียง ที่เป็นทางนำให้เกิดความไม่ยุติธรรม มี ๔ ประการ ได้แก่
       ๑. ฉันทาคติ ความลำเอียงเพราะความรักใคร่ ธรรมชาติของคนเรามักจะรักใคร่ในสิ่งที่นำให้ความปรารถนาของตนเองสำเร็จ นี่จึงเป็นเหตุทำให้ใจของเขาไม่เป็นกลาง ก่อให้เกิดการปฏิบัติต่อทุกคนไม่เท่าเทียมกัน คนที่ร่วมสมาคมด้วยก็จะเกิดความรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมในการอยู่ร่วมกัน
       
       ดังเช่นพ่อแม่มักรักใคร่ลูกคนที่ว่านอนสอนง่าย บอกอะไรก็เชื่อฟัง เมื่อจะให้สิ่งใดๆ หรือแสดงออกถึงความรัก จึงมักให้สิ่งดีๆ หรือความอบอุ่นแก่ลูกคนโปรดด้วยความรักอยู่เสมอ ส่วนลูกคนที่ดื้อด้าน ก็จักได้รับแต่สิ่งที่ด้อยกว่า หรือคำตำหนิว่ากล่าว ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมจากพ่อแม่
       
       เมื่อมาพิจารณาในการทำงานอย่างที่ลูกกำลังประสบอยู่ ความลำเอียงเพราะความรักใคร่ ย่อมจะทำให้เกิดประเมินผลงานลูกน้องแบบตอบแทนความดีคือ หัวหน้างานมักตอบแทนความดีที่ลูกน้องมีต่อตน โดยไม่ได้ประเมินตามความสามารถในการทำงาน เช่น ลูกน้องมีนิสัยดี ถูกใจตน แสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงานทุกคน ยินดีช่วยเหลืองานเขา แม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่งานที่เป็นความรับผิดชอบของตนมักจะทำผิดพลาด ด้วยความไม่รอบคอบเป็นประจำ ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน
       
       แต่หัวหน้างานกลับประเมินแบบให้รางวัลความมีน้ำใจ ให้ทำงานในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิม ได้เงินดีกว่าเดิม กลายเป็นการประเมินแบบตอบแทนความดี แต่ไม่ได้มาจากการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานการทำงาน นี่ก็คือความไม่ยุติธรรมในที่ทำงาน
       
       ๒. โทสาคติ ความลำเอียงเพราะความโกรธ ลูกย่อมรู้แล้วว่าเมื่อความโกรธเกิดขึ้นในจิตใจ ย่อมนำมาซึ่งความเคียดแค้น ความเกลียดชัง ความไม่ปรารถนาดีต่อผู้ที่ถูกโกรธ
       
       ดังนั้น เมื่อมีกิจกรรมให้ต้องเกี่ยวข้องกัน ความโกรธจะนำให้แสดงออกถึงความไม่พอใจ ความไม่อยากสมาคมด้วย คนที่ถูกโกรธก็ต้องคอยหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองได้รับความเดือดร้อนจากอารมณ์โกรธของผู้นั้น เมื่ออยู่ร่วมกันในลักษณะเช่นนี้ งานที่ต้องทำร่วมกันก็ขาดประสิทธิภาพ นำให้เกิดความถดถอยในหน่วยงาน
       
       หัวหน้างานที่มีโทสาคติย่อมประเมินผลงานลูกน้องแบบล้างแค้นให้สะใจ ด้วยอาศัยเหตุผลต่างๆมาประกอบการตัดสินใจตนเอง เช่น เพราะลูกน้องคนนี้เป็นคนหยิ่ง เห็นแก่ตัว ชอบโต้แย้ง ไม่ฟังคำสั่ง ถือว่าตนเองมีการศึกษาดีกว่า เขาต้องรับโทษในสิ่งที่เขาทำกับฉัน เป็นต้น
       
       เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้งานที่ลูกน้องทำจะดีเพียงใด มีความรับผิดชอบงานดี มีความคิดสร้างสรรค์ หัวหน้าก็จะละเลยประเด็นเหล่านี้ไป หน่วยงานที่มีหัวหน้าเช่นนี้ ก็ย่อมไม่สามารถได้คนที่ดีมาร่วมงานได้เลย เพราะอำนาจของโทสาคตินี่เอง
       
       ๓. โมหาคติ ความลำเอียงเพราะความหลงผิด ความไม่รู้ ความเขลา การมองโลกมองคนในแง่ร้าย อันเป็นส่วนนำให้เกิดการตัดสินใจโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผลที่ติดตามมาก็คือความเสียหายในงาน ความขัดแย้งในหน่วยงาน
       
       หัวหน้างานที่มีโมหาคติย่อมประเมินผลงานลูกน้องแบบตามใจตนเอง ถือความคิดเห็นตนเองเป็นใหญ่ ลูกน้องที่ได้หัวหน้างานมีโมหาคติอยู่เป็นประจำ ย่อมเกิดความรู้สึกอยากย้ายหน่วยงาน ด้วยไม่เห็นหนทางแห่งความเจริญก้าวหน้าของตนเอง เห็นแต่หายนะอันเกิดจากโมหาคติของหัวหน้างาน ความล่มสลายของหน่วยงานจึงเกิดจากอำนาจของโมหาคตินี่เอง
       
       ๔. ภยาคติ ความลำเอียงเพราะความกลัว ความกลัวเป็นสภาพของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง มักจะเป็นทุกข์ในความคิด ด้วยความคาดหวังถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ด้วยคิดว่าสิ่งนั้นจะนำภัยมาสู่ตนเอง ขาดความกล้าหาญในทางจริยธรรม ทำตนให้ตกอยู่ในอำนาจของบุคคลที่ตนคิดว่า เขาจะปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยได้ ภยาคติจึงนำให้เกิดการไม่กล้าตัดสินใจในหน้าที่การงานของตน
       
       หัวหน้างานที่มีภยาคติย่อมประเมินผลงานของลูกน้องแบบเกรงใจ ไม่กล้าประเมินตามความเป็นจริง ทั้งๆที่รู้ว่า ลูกน้องทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ผิดพลาดบ่อย ด้วยเหตุกลัวว่า จะเสียความสัมพันธ์ระหว่างกัน เกรงว่าลูกน้องจะไม่พอใจ และจะยิ่งไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน จึงต้องประเมินให้ทั้งคนที่ทำงานดีและทำงานไม่ค่อยดีเท่าเทียมกัน
       
       หน่วยงานของหัวหน้างานที่มีภยาคติ จึงเป็นหน่วยงานที่ลูกน้องทำงานตามอำเภอใจของตนเองเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่กังวลต่อหัวหน้างานเลย หน่วยงานเช่นนี้จึงไม่มีความก้าวหน้าในกิจการตลอดเวลา
       
       ลูกคงจะตระหนักได้ว่า เมื่ออคติเกิดขึ้นในใจของหัวหน้างานเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะขาดคุณสมบัติของการเป็นหัวหน้างานที่ดีไปทันที เพราะอคติจะเข้ามาบิดเบือนการใช้อำนาจในฐานะหัวหน้า บิดเบือนความยุติธรรมที่หัวหน้าควรจะมี และสะท้อนการทำหน้าที่หัวหน้าที่ล้มเหลว สิ่งที่ติดตามก็คือ เกิดความเสียหายทั้งองค์กรโดยส่วนรวม
       
       พ่อเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งที่มีไว้สำหรับบุคคลที่เป็นหัวหน้างาน หรือผู้บังคับบัญชาว่า “ไม่มีสิ่งใดจะทำลายอำนาจของคุณได้เร็วกว่าความลำเอียง”
       
       เมื่อเรารู้แล้วว่า อคติเป็นตัวทำลายความยุติธรรมในการทำงาน ดังนั้น ความยุติธรรมจึงเป็นคุณลักษณะ “สำคัญ” และ “จำเป็น” ของหัวหน้างาน ที่จักต้องทำให้เกิดขึ้นในตนเอง
       
       คนที่ต้องการเป็น “หัวหน้างานที่ดี” แม้ว่าจะไม่สามารถกำจัดความรู้สึกส่วนตัว ชอบบางคน ไม่ชอบบางคน ออกไปได้ แต่ต้องตระหนักว่า จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำให้เราเกิดอคติ โดยจำเป็นต้องรู้วิธี “เก็บกด ปิดกั้น” ควบคุมความรู้สึกตรงนี้ไว้ เพื่อให้สามารถบริหารงานของหน่วยงาน ประเมินผลทีมงานได้อย่างยุติธรรม และถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
       
       ในทัศนะของพ่อคิดว่า ความยุติธรรมน่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราสามารถปฏิบัติตนได้ดังนี้
       ๑. มีความซื่อสัตย์สุจริต คือ ยึดมั่นในความสัตย์จริงและในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีความซื่อตรง และมีเจตนาที่บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นโดยชอบ ไม่คดโกง แสดงออกให้คนอื่นได้ทราบด้วยการพูดความจริง ทำตัวเป็นที่น่าเชื่อถือ ทำตามสัญญา ตรงไปตรงมา กล้าเปิดเผยความจริง รู้จักแยกแยะประโยชน์ส่วนตัวส่วนรวม
       
       ซึ่งคนที่ทำงานด้วยจักสัมผัสได้ถึงความเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตจากการทำงาน เขาก็จะให้ความเคารพนับถือ เชื่อใจในการนำ เปิดใจกว้างในการทำงานด้วย ด้วยมุ่งหวังว่า จะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
       
       ๒. มีจิตสาธารณะ คือ มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม มีความตระหนักรู้และคำนึงถึงสังคมส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อตัวเองในการกระทำใดๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อส่วนรวม และพร้อมที่จะเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม สามารถแสดงออกด้วยความรับผิดชอบส่วนรวม มีการเอื้อเฟื้อ เมตตา มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว ในการทำงานที่ดีต่อกัน
       
       ๓. มีความเป็นธรรมทางสังคม คือ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และอย่างมีเหตุผล โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม นึกถึงใจเขาใจเรา ไม่เอาเปรียบผู้อื่น รับฟังผู้อื่น เคารพให้เกียรติผู้อื่น คำนึงถึงความยุติธรรมโดยตลอด คนที่ทำงานร่วมด้วยก็จะมีความรู้สึกอุ่นใจ นำให้เขาทำงานได้อย่างสบายใจ สนุกกับงานอย่างต่อเนื่อง
       
       ๔. มีการกระทำอย่างรับผิดชอบ คือ มีจิตสำนึกในบทบาทและหน้าที่ของตัวเองและปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เคารพกฎเกณฑ์กติกา พร้อมให้ตรวจสอบการกระทำได้เสมอ หากมีการกระทำผิดก็พร้อมที่จะยอมรับและแก้ไขในสิ่งที่ผิด
       
       แสดงออกด้วยการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มีระเบียบวินัย เคารพกติกา รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ กล้ายอมรับผิดและรับการลงโทษ รู้จักสำนึกผิดและขอโทษ แก้ไขในสิ่งผิด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
       
       ๕. มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง คือ ดำเนินชีวิตโดยยึดหลักความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่ละโมบโลภมาก รู้จักยับยั้งชั่งใจ และต้องไม่เอาเปรียบหรือเบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น มีการแสดงออกด้วยการรู้จักความพอดี มีความอดทนอดกลั้น รู้จักบังคับตัวเอง ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่ทำอะไรแบบสุดขั้วหรือสุดโต่ง มีสติและเหตุผล
       
       เมื่อลูกสามารถปฏิบัติตนได้ตามเกณฑ์ที่พ่ออธิบายมานี้ ลูกจะรู้ด้วยตนเองว่า ความยุติธรรมในตัวของลูกเป็นเช่นไร ผลของความยุติธรรมจะนำให้อคติหมดไปจากจิตใจของลูก
       
       เมื่อลูกซึ่งเป็นหัวหน้างาน เป็นผู้มีความยุติธรรมในการทำงาน ลูกน้องก็จักมีความอุ่นใจว่า ผลงานของเขาย่อมได้รับการประเมินอย่างถูกต้อง ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน ลูกน้องก็จักเกิดสามัคคีธรรมในการทำงาน เพื่อให้หน่วยงานได้บรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ สันติสุขในหน่วยงานก็จะทำให้ทุกคนสนุกกับงาน งานก็ได้รับประสิทธิผลสูงสุดอยู่เสมอ
       
       ท้ายนี้ พ่ออยากให้ลูกทำตนให้เป็นผู้มีความยุติธรรม ปราศจากอคติในจิตใจ แล้วสิ่งที่ลูกปรารภไว้เบื้องต้นก็จะหมดไป สังคหวัตถุธรรมก็จักสามารถดำเนินไปได้อย่างสวัสดี ให้ผลตรงตามธรรมเสมอ
       
       หวังว่าลูกจะสามารถปรับปรุงตนเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรมแล้วลูกก็จะสัมผัสความสุขในธรรมที่ปรารถนาได้ตลอดเวลา
       
       ด้วยรัก
       พ่อโต

 ที่มา: (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 154 ตุลาคม 2556 โดย พระครูพิศาลสรนาท(พจนารถ ปภาโส) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.)

ตัวดักจับอารมณ์ความรู้สึก


มีคำถามมากมายในหัวเลยครับ  เวลาที่ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งแต่ไม่รู้จะตัดสินใจไปทางไหนดี
ความกลัวทำให้มนุษย์ไม่กล้าลงมือทำตามฝัน
ในขณะเดียวกันความปลอดดภัยก็มีแต่จะรั้งความก้าวหน้าในชีวิตของเรา
ปัญหาสารพันมารุ้มเร้าเราในเวลาเดียวกัน

สิ่งหนึ่งที่จะให้เรายืนหยัดและเดินหน้าต่อไปได้คือ การตั้งสติ
ก่อนอื่นเวลาที่กลัวสิ่งไหน  ให้คุณพยายามนึ่กถึงภาพกว้างและประมาณการ
เหตุการณ์เหล่านี้ทบทวนซ้ำจนแน่ใจว่า  ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแท้จริงแล้ว
มีความสำเร็จบ่นอยู่ด้วยมากน้อยขนาดไหนเป็นว่า

บริษัทคุณรับจ้างขนส่งสินค้าทางเรือบางครั้งเกิดปัญหาสินค้าสูญหายระหว่างทางหรือถูกปล้น
ในทางปฎิบัติจริงความเสี่ยงเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นแต่ถ้าหากคุณลองพิจารณาให้ดี
เป็นต้นว่า  ตลอดระยะเวลาที่เปิดบริษัทมาเหตุการณ์ที่คุณกำลังกลัวเกิดขึ้นกี่ครั้ง และตลอดระยะ
เวลาที่คุณทำการขนส่งคุณขนส่งไปแล้วกี่ครั้งเช่น 50000 ครั้ง ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง 10 ครั้งเท่ากับว่า
ความเสี่ยงในการขนส่งอยู่ที่ 1:5000 ซึ่งก็มิใช่เรื่องน่ากลัวใดๆเลย

ทางเดินของมนุษย์เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ
บางครั้งคนเราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและก้าวไปข้างหน้า
อย่าได้กลัวไปกับปัญหามากมายที่เข้ามาเพราะในท้ายที่สุดเมื่อคุณเข้าใจมัน
ยอมรับมัน และปล่อยวางคุณเข้าทุกอย่างแล้วอะไรๆก็จะเปิดทางให้คุณเอง

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อควรรู้ในเรื่องการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์




คราวที่แล้วผมพูดถึงประเด็นจองเป็นที่เรียบร้อยวันนี้ขอนำเสนอในรูปของสัญญาจะซื้อจะขายกันบ้างนะครับ  หลายคนมักจะพลาดกันจุดนี้พอสมควร วันนี้ผมมีทริคในการเลือกซื้อและทำสัญญาจะซื้อจะขายมากฝากเพื่อนๆกันครับ

           หลังจากมีการทำสัญญาจองซื้อกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทีนี้โดยเงื่อนไขปกติก็คือ 7 วันคุณก็ต้องเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน (ทั้งนี้ก็อยู่กับการเจรจากับทางบริษัททำการซื้อขายระยะเวลาอาจยาวกว่านี้ก็ได้) ทั้งนี้คุณสามารถที่จะขอสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงชื่อของผู้ซื้อขาย-รับโอนกรรมสิทธิ์ ณ วันที่ทำสัญญาได้เลยครับ

จุดที่ต้องสังเกตุมีดังนี้ครับ
           1.โครงการที่กำลังจะก่อสร้างหรือยังไม่ได้ EIA   นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในการเกร็งกำไรในธุรกิจมักจะนิยมโครงการดังกล่าว  ทั้งนี้มีจุดที่คุณต้องระมัดระวังกล่าวคือ

- ระยะเวลางวดดาวน์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  ก่อนที่คุณตัดสินใจเลือกจองซื้อกับทางบริษัทควรสอบถามกับเซลล์ให้แน่ชัดในเรื่องใบอนุญาติก่อสร้างหรือ อ.1 ให้เป็นที่เรียบร้อย

- เมื่อทราบวันที่แน่ชัดแล้วเรื่องต่อมาก็คือ ระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ได้รับไปอนุญาติก่อสร้าง อ.1 ไปจนถึงวันเสร็จสิ้นพร้อมส่งมอบให้กับเรา ใช้ระยะเวลานานไหม

- ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนของการทำสัญญาผมขอพูดถึงเรื่องของการจองก่อนดีกว่า  การจองซื้อก็เหมือนการกับการนำเงินไปมัดจำลักษณะคล้ายกับการผ่อนซื้อรถยนต์  แตกต่างกันตรงที่โครงการที่ยังไม่ได้ใบอนุญาติก่อสร้าง EIA ในเงื่อนไขสัญญาอาจไม่เหมือนกัน กล่าวคือ อาจจะเป็นผ่อนจอง หรือ ผ่อนค่างวดดาวน์  จุดนี้สำคัญครับต้องสังเกตุความแตกต่างระหว่างผ่อนจองกับผ่อนงวดดาวน์ด้วย

- เมื่อถึงวันครบกำหนดทำสัญญาหลังจากที่ทางบริษัทนัดให้คุณเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขาย (บริษัทได้ใบอนุญาติก่อสร้างแล้ว) จุดที่ต้องสังเกตก็คือ จำนวนงวดการผ่อนดาวน์มีความสอดคล้องกับระยะเวลาของการก่อสร้างที่แล้วเสร็จหรือไม่  หากไม่สิ่งที่คุณต้องขอเจรจาเพิ่มก็คือ  เงื่อนไขในเรื่องการขอขยายงวดดาวน์ส่วนเราสามารถทำเรื่องได้ครับหากโครงการยังไม่เเล้วและไม่ผิดเงื่อนไขในสัญญา

            2.โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  โครงการระหว่างสร้างจุดนี้สิ่งที่คุณต้องคำนึงมากที่สุดก็คือ งวดผ่อนดาวน์ กล่าวคือ ก่อนตัดสินใจซื้อกับทางเซลล์คุณต้องสอบถามให้เเน่ชัดในเรื่องของระยะเวลาในการก่อสร้าง (หากเป็นไปได้ +ไปอีกสัก 6 เดือนก็น่าจะดีครับ) คำถามคือทำไมต้องทราบ  จำเป็นมากครับเพราะระยะเวลาผ่อนดาวน์ต้องสัมพันธ์กับสัญญาจะซื้อจะขายในการก่อสร้าง   บางครั้งระยะเวลาก่อสร้างอาจล่าช้ากว่ากำหนดทำให้ต้องเทดาวน์ก่อนทั้งทีโครงการยังไม่แล้วเสร็จ

            3.โครงการก่อสร้างเสร็จ   ส่วนนี้ไม่มีอะไรมากครับ แนะนำให้คุณไปดูสถานที่จริง  เมื่อเห็นสถานที่แล้วก็ตัดสินใจจองเลยครับ  ทั้งนี้ก็เช็ค เครดิตของตัวเองก่อนก็ดีครับจะได้ไม่เสียเงินจองไปเปล่าๆ  เมื่อมั่นใจว่ากู้แบงค์ผ่าน  ก็ไม่ติดปัญหาอะไรครับ

จะเห็นได้ว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ยากอย่างที่คิด  คนเราหากจะมีที่พักอาศัยสักแห่งหนึ่งก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและบุคคลในครอบครัว  การตัดสินใจซื้อเพื่ออนาคตหรือเพื่อการลงทุนหากไม่เป็นการรบกวนหรือเดือดร้อนอะไรมากไป  สิ่งที่สำคัญที่สุด คือกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองคิดและฝันไว้ตลอด  จำไว้ครับว่าสิ่งใหม่ๆที่เราเริ่มตัดสินใจและเรายังไปได้ต่อ  นั่นก็เท่ากับว่าโอกาสโตยังมีอีกเยอะครับ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อควรรู้ในการจองซื้ออสังหาริมทรัพย์



ยุคนี้คอนโด กำลังเป็นที่นิยมอย่างเเพร่หลายของหนุ่มสาววัยทำงาน  เนื่องจากง่ายและสะดวกในการเดินทาง เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือน  วันนี้เลยขอพูดถึงข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจทำสัญญาจองสำหรับเพื่อนๆที่สนใจ และกำลังมองหาคอนโดกันนะครับ

1.จำนวนเงินที่จองควรสมเหตุสมผลไม่มากหรือน้อยเกินไป  ตัวอย่างเช่นคอนโดราคาประมาณ 2 ล้านต้นเงินจองควรอยู่ประมาณ 10,000 บาทไม่ควรมากน้อยไปกว่านี้มากครับ  เผื่อไม่เอาเงินจองตัวนี้โอกาสได้คืนทั้งจำนวนมีความเป็นไปได้น้อยมาก

2.สังเกตสัญญาจองให้ดีครับว่าเงื่อนไขเป็นอย่างไร  ที่หลุดกันบ่อยที่สุดก็คือ ไม่ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเรื่องเงื่อนไขการขอแก้ไขเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองสัญญาจอง ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่าคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายในจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินจองมาก ทางที่ดีผมแนะนำว่าหากมั่นใจว่าตกลงซื้อห้องชุดนี้จริงๆ เปลี่ยนตอนทำสัญญาจะซื้อจะขายดีกว่าครับ

3.ใบอนุญาติก่อสร้าง EIA สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญไม่น้อย  หากคอนโดบางแห่งยังไม่ได้ EIA ควรพิจารณาให้รอบคอบยิ่งขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อ  สาเหตุเพราะว่าเงินที่คุณผ่อนชำระเข้ามานั้นถือเป็นเงินจองหาใช่เงินในการทำสัญญาจะซื้อจะขายไม่  หากผ่อนไม่ครบตามกำหนดย่อมทำให้สูญเสียเงินจองไปในจำนวนมาก

4.หากเป็นไปได้ควรตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างจริงด้วยก็ดีไม่น้อยครับ  จะได้ไม่ต้องทิ้งเงินจองไปเปล่าๆ ดูทำเล แหล่งชุมชนหรือไม่ สะดวกในการเดินทางไหม อย่างเพิ่งหลงเชื่อคำพูดของ Sale มากเกินไปครับ

5.คอนโดส่วนใหญ่ที่นิยมมากในปัจจุบันคือ  โครงการที่กำลังจะก่อสร้าง หรืออยู่ระหว่างก่อสร้างซึ่งเราไม่สามารถเห็นภาพของจริงได้เป็นเพียงการจำลองเเบบเท่านั้น  ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจไม่มีอะไรเพอร์เฟคทุกอย่างแบบคุณคิด

6.ตรวจสอบประวัติ Sale ที่ขายกับคุณได้จะดีมากครับ  เพราะหากเกิดปัญหาใดๆจะแก้ไขได้ทัน  ตัวอย่างเช่น  ประสบการณ์ทำงาน สอบถามจากคนใกล้ชิด การที่ตัดสินแค่ภายนอกอย่างเดียวผมไม่แนะนำครับ

เรื่องเหล่านี้เหมือนไม่มีอะไรแต่หากเราละเลยก็ทำให้ต้องเสียเงินจองโดยใช่เหตุ  โครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้วในทางปฎิบัติจริงอาจแพง แต่ก็มั่นใจได้มากกว่าโครงการที่อยู่ระหว่างสร้างยังไงก็ฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ  วันนี้สวัสดีครับ

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ค้นหาผลลัพธ์ในตัวคุณเอง




การอยู่เงียบๆคนเดียวเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
การได้อยู่กับตัวเองทำให้เรามองเห็นตัวเองมากขึ้น
เมื่อเรารู้จักและมองเห็นตัวเองมากขึ้น
ก็ย่อมเห็นความแตกต่างอะไรบางสิ่งบางอย่าง

ที่จริงแล้วชีวิตมันไม่ได้แย่ไปหมดหรอกครับ
เพียงแต่อาจมีบ้างที่เราเจอคนแย่ๆ
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราแย่ไปหรอกครับ
การกระทำของเขาบอกตัวเขาเองมากกว่า

การกระทำของเราถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี
ก็ย่อมจะส่งผลดีให้กับชีวิตเรา
ใครจะทำไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดีก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
ชีวิตยังไงก็ต้องเดินหน้าต่อไป

อยู่กับปัจจุบันและทำตรงหน้าให้มันดีที่สุด
อุปสรรคขวางหนามระหว่างทางทำให้ทุกคนเข็มแข็งขึ้น
การนิ่งอยู่กับที่หรือการไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างหาก
ที่ทำให้เราไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้

การมัวแต่มานั่งคิดคำนึงถึงอดีตหรือกังวลกับอนาคต
จนไม่เป็นอันทำอะไรย่อมส่งผลให้ชีวิตย่ำอยู่กับที่
ฉะนั้น จงเดินออกมาและยอมรับความเป็นจริงในโลกกว้าง
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราไม่สามารถบังคับมันได้

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงอันดับแรกคือ ความคิดในใจเราต่างหาก
อย่าดูถูกตัวเอง อย่ามองว่าตัวเองต่อยต่ำ อย่าเห็นผิดเป็นชอบ
รักษาแบบแผนและดำเนินตามความเชื่อในทางที่ถูกที่ควร
เมื่อมีแบบแผนที่ดีย่อมนำความสุขมาสู่คุณในททุกระยะที่เดิน


วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์




ช่วงนี้ผมสนใจศึกษาเรื่องการมองหาที่ดิน  ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาในอนาคต การเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  เมื่อคุณพบเจอสิ่งใหม่ก็เกิดเป็นความรู้ใหม่ๆขึ้นมาเคยสงสัยในชีวิตตัวเองนะครับว่า  เราโชคดีหรือเปล่าที่มาจนถึงจุดนี้  สงสัยมานานพอได้พบเจอโลก  ได้เจอมุมมองอะไรใหม่ๆ ก็ทำให้ได้ทราบว่าความแตกต่างเข้าใจโลกมากขึ้น จากวันเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านมา  เอาละครับเช้านี้ผมได้อ่านเพจพี่พูม  รู้สึกน่าสนใจมากเลยนำมาแชร์ให้ดูครับ

ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง รวมถึงชนิดของโฉนดที่ดินว่ามีกี่ชนิด เช่น นส.2 นส.3 สปก โฉนด มาดูว่าชนิดไหนเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อยกัน และคืออะไรกันบ้าง
สิ่งที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงจากการลงทุนอสังหาคือ
1. ซื้ออสังหาฯที่มีราคาสูงเกินไป พอราคาสูงแล้วการที่จะหวังราคาขึ้นในปีต่อๆไปก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะราคาขึ้นมันก็คือมาจากดีมานด์ที่มากขึ้นนี่แหละ ถ้าความต้องการมันขึ้นไม่ทันราคาที่สูงก็จะไม่มีคนสนใจ

2. มีกระแสเงินสดหมุนไม่พอ ส่วนใหญ่มนุษย์เงินเดือนต้อง ใช้การกู้จากธนาคารมาเพื่อครอบครองที่นั้น และการกู้ก็ต้องมีค่าดอกเบี้ยทุกๆเดือน เรียกได้ว่าถ้ากู้นานๆ 20-30 ปี  ค่าดอกเบี้ยนี่แทบจะประมาณครึ่งหนึ่งของเงินต้นเลยเชียว  ถ้าซื้ออสังหามาแล้วปล่อยเช่า หรือทำเงินไม่ได้แต่ก็ต้องจ่าย  ค่างวดทุกๆเดือน คนที่เจ๊งคือคนที่ไม่มีปัญญาไปผ่อนนั่นเอง

3. ซื้อที่ดินหรือเอกสารสิทธิที่มีความเสี่ยง เอกสารที่จะบอกว่าเราเป็นเจ้าของที่ดินนั้นๆ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามันคือ  โฉนดที่ดิน แต่น้อยครจะเข้าใจถ่องแท้ว่าโฉนดที่ดินที่เป็น  ใบมีครุฑอยู่นั้นมันมีหลายประเภทนะ ซื้อผิดอาจจะโดนหลอกหรือโดนยึดคืนได้เลย มาดูกันว่ามีอะไรบ้างแบบคร่าวๆ

A. ใบจอง (นส 2) คือ หนังสือแสดงการครอบครองที่ดินชั่วคราวที่ทางราชการออกให้แสดงการครอบครองที่ดินชั่วคราว เพื่อเอาไปทำประโยชน์ที่ดินนั้น อาจถูกทางราชการยึดคืนได้  ไม่มีสิทธิ์ในการซื้อขาย หรือ จำนองใดๆ แต่ทำเป็นมรดกได้
B. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส 3 และ นส 3ก) คือ หนังสือที่ให้สิทธิในการทำประโยชน์แก่ผู้ครอบครอง แต่ยังไม่เป็นโฉนดที่ดิน มีรูปที่ดินลอยๆสำหรับ นส 3 และหลังจากสร้างระวางรูปถ่ายทางอากาศก็จะเป็น นส 3ก
C. โฉนดที่ดิน (นส 4 และ นส 4ก) คือหนังสือสิทธิในการครอบครองที่ดินนั้นแบบสมบูรณ์ แสดงถึงการทำประโยชน์แล้ว เอกสารที่มาทำเป็นโฉนดมีเจ้าหน้าที่มาออกให้ ต้องผ่านการเป็น นส 3ก คือ  มีรูปถ่ายระวางทางอากาศมาแล้ว สามารถซื้อขาย จำนองได้แต่ขึ้นกับข้อตกลง บางพื้นที่จะไม่สามารถโอนได้ใน 10 ปีก็มี
D. เอกสารสิทธิที่ราชการออกให้ (ภบท 5, สทก. สปก. และอื่นๆ) เอกสารพวกนี้ต้องเอาไปทำเป็น นส 3 และ นส 4 ต่อ มีหลายแบบ มากๆ เอาเป็นว่าบางชนิดเกี่ยวข้องกับสิทธิทางการเกษตรอะไร
แบบนี้ ถึงเป็นโฉนดแล้วแต่ก็อาจจะห้ามโอนใน 5 ปีก็ได้ ระวังมากๆครับ

นี่คือตัวอย่างที่มีหลายรูปแบบมากๆ ซื้อที่ดิน สิ่งปลูกสร้างด้วยความระมัดระวัง ไม่งั้นอาจเป็นเสียเงินทั้งก้อนแทน  นี่คือการเตรียมตัวเรื่องอสังหาฯ เรื่องเล็กน้อยหากเราละเลยไม่ใส่ใจก็ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ได้ฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...