วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศิลปะกับการใช้ชีวิต


แท้ที่จริงแล้วนะครับ  ศิลปะกับการใช้ชีวิต  แทบแยกไม่ออกจากกันเลยครับ  โดยเฉพาะชีวิตของการเป็นศิลปิน  คำนิยามของชีวิตคนเราในแต่ละคนมันก็แตกต่างกันออกไปนะครับ

บางคนมีความเห็นว่า  การได้ท่องเที่ยวหรือเดินทางไปที่ใหม่ ๆ ทำให้ตัวเองเกิดแรงบันดาลใจ

บางคนมีความเห็นว่า  การได้ใช้ชีวิตอยู่บ้าน กับครอบครัว  แค่นี้ก็คือความสุขในชีวิต

บางคนก็มีความเห็นว่า  การเดินช็อปปิ้ง  หาอาหารอร่อยๆ กิน  ได้ออกกำลังกายแค่นี้ชีวิตก็มีความหมาย

แท้ที่จริงความหมายของชีวิตที่ดีสุด  มันอาจไม่ได้มีอยู่จริงก็ได้ครับ  มันก็ขึ้นแต่ละคนว่าจะมองมันยังไงซะมากกว่า  การใช้ชีวิตจึงถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง สำหรับคำนิยามของผมนะครับ  การใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเอง  ไปแค่การท่องเที่ยวหรือการเดินทางเท่านั้น  ทุกอย่างในชีวิตคือการใช้ชีวิต  เพียงแค่เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างสังเกตุ  กับสิ่งรอบตัว  เรียนรู้เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม  ไม่ว่าจะไปที่ไหน  ชีวิตก็มักจะเกิดไอเดียใหม่ ๆ อยู่แล้ว

ถ้าหากเราไปโฟกัสว่าการเดินทาง  คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการสร้างแรงบันดาลใจ  นั่นก็เท่ากับไปปิดกั้นตัวเองมากไปครับ  กลายเป็นว่าจิตใจเราก็จะไปว้าวุ้นเกี่ยวกับการเที่ยว และการเดินทางตลอด  ทั้งที่ในความเป็นจริง  ชีวิตเราก็ยังต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง  ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีวิตกันไป

เราเลือกที่จะมีความสุขกับการใช้ชีวิต  พร้อมกับสร้างสรรค์งานศิลปะได้ทุกที่  ขอเพียงแค่คุณรู้จักมองให้เห็นและรู้จักสังเกตุให้มาก  คนเราพอสังเกตุให้มากก็จะมองเห็นอะไรที่ลึกขึ้น  จากทุกมุม เห็นอะไรบางอย่างที่มันซ่อนอยู่ในทุก ๆ สถานที่ที่เราไป  ซึมซับมันให้มาก ๆ  แล้วปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระกับทุกอย่าง  คุณก็จะได้รับพลังงานอะไรบางอย่างที่ทำให้ชีวิตคุณ  ได้สร้างผลงาน สร้างความแตกต่างขึ้น  เพราะจิตที่อิสระ  ปราศจากการควบคุมแล้วใช้หัวใจนำทาง  ย่อมจะได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมเสมอ

คนเราบางคน  เราใช้ความคาดหวังเป็นตัวนำทาง  ทำให้เราติดกรอปไปหมด  และไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยมออกมาได้  เวลาที่คุณนึกอะไรไม่ออกนะครับ  ผมอยากจะให้คุณลองกลับมาทบทวนตัวเอง  นึกถึงความรู้สึกอะไรก็ได้  ครั้งแรกที่คุณเคยทำมันได้ดี  ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างมันเป็นสิ่งใหม่อยู่เสมอ  ความที่ใหม่อยู่ตลอดเวลานั่นแหละครับ  ที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ของเรา

แต่ในท้ายที่สุดมนุษย์เรานะครับ  ต่อให้เราจะไปได้ไกลแค่ไหน จะอยู่สูงแค่ไหน  สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ที่เดิมเสมอ นั่นคือพื้นฐานของชีวิตคนเรา จะว่าไปแล้วชีวิตนี้มันเเสนจะสั้นนัก  ควรเลือกใช้ชีวิตและฝึกเข้าใจโลกให้เร็วขึ้น  ก็ย่อมได้เปรียบคนอื่น  บางคนกว่าจะยอมรับและเข้าใจโลก  กลายเป็นว่าอายุก็ปาไปใกล้เข้าฝั่งไปแล้ว  ได้แต่นั่งเสียดายกับเวลาที่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  ชีวิตมันก็เท่านั้นเองแหละครับ  แค่ยอมรับมัน และใช้ชีวิตที่เหลือของเราให้มีความสุขให้มากที่สุด  นี่แหละครับคือพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว  กำลังใจของเราเองนั่นแหละครับคือยาชั้นดีที่สุดในโลกเลย  ผมรับรองให้เลยครับ

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เตรียมตัวตายกันหรือยังครับ


เราพยายามวิ่งหาความสุขกันอยู่ตลอดเวลา  ยิ่งวิ่งก็รู้สึกจะเหมือนไกลออกไปทุกที  เพราะความสุขมันอยู่รอบตัวเรานั่นแหละครับ  ชีวิตเราเอาแต่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  หรือไม่ก็นึกหวนหาอดีตที่มันผ่านไปแล้ว  โดยที่เราก็หารู้ไม่ว่า  ความตายกำลังมารอเราอยู่ข้างหน้า

ผมมีคำถามหนึ่งกับท่านผู้อ่านนะครับ  ทุกวันนี้ได้เตรียมตัวตายกันหรือยังครับ  บางทีนะครับผมตื่นมา กลางดึก ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากความตาย  หรือไม่ก็ฝันว่าวิญญานเราออกจากร่าง  ไปในที่ ๆ เรายังไม่เคยไปมาก่อน

ผมก็เลยอยากรู้นะครับว่า.... คุณเคยวางแผนความตายไว้หรือไม่  ถ้าหากว่าคุณต้องตายไปในวันนี้เลย  มีอะไรที่คุณยังต้องเป็นห่วงไหม  หรือมีอะไรบ้างในชีวิตที่เรายังไม่ได้ทำ  และอยากที่จะทำมันแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ  คนเรามักจะประมาทและละเลยกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆนะครับ

อย่างเช่นตัวผมเอง  บางทีผมก็ชอบลืมไหว้พระก่อนนอน ทั้งที่ตอนเด็กเราถูกบังคับปลูกฝังให้ทำตลอดเวลา  เราลืมเรื่องอายุไปว่าเราอายุมากขึ้นแล้ว  ลืมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆหลายอย่างไป  เพราะชีิวิตเราเอาแต่วิ่งวุ่นอยู่กับสิ่งที่คิดว่า จะทำให้ชีวิตเรามันมั่งคงอยู่ได้  ทั้งที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายไปเมื่อไหร่  และก็ไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวตายด้วยซ้ำ  ตอนนี้ผมก็ได้มาเริ่มตั้งโจทย์ให้กับชีวิตตัวเองแล้วละครับว่า

ยังมีสิ่งไหนบ้างที่ผมยังไม่ได้ทำ  และอยากจะขอโทษหรือขอบคุณใคร  ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นมันผ่านไปง่าย ๆ  การจัดตารางชีวิตก็เช่นกัน  นอกจากการให้เวลากับการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แล้ว  เราต้องฝึกจิตตัวเอง  ให้เวลากับตัวเองได้นั่งสมาธิ  อยู่กับตัวเองให้มาก ๆ  ปล่อยวางทางโลกให้เร็วที่สุด

ใจที่มันนิ่งและรักษาสภาพจิตใจอยู่เสมอ  มันเป็นอะไรที่ิวิเศษมาก  เพราะต่อให้วิญญานเราจะหลุดออกจากร่าง  เราก็จะเป็นอิสระจากมันและไม่ต้องวังวลอะไรทั้งนั้น  อย่าไปพูดถึงเรื่องการสำเร็จธรรมขั้นสูงอะไรเลยครับ  แค่เอาพื้นฐานสภาวะจิตใจของเราให้มันนิ่งให้ได้ก่อน  เท่านี้ชีวิตก็ได้ขึ้นชื่อว่าคุณมาทางสายกลางแล้วครับ  การปล่อยให้ชีวิตทำอะไรตามอำเภอใจตัวเอง  มากจนเกินไป  มันก็ไม่ดีนะครับ  เพราะจิตใจมนุษย์มักจะพาเราไปหาอบายมุข  และสิ่งที่ตกต่ำอยู่เสมอ ๆ

โลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ  ในแต่ละวันเราบริโภคข่าวสารมากมาย  แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับเราจริง ๆ  เป็นเพียงเครื่องสร้างกิเลสและสิ่งเศร้าหมองให้กับจิตใจเราทั้งนั้น  การตามดูจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  จะทำให้เราสามารถเเยกแยะอะไรได้ดียิ่งขึ้น  ไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุทางโลก  และไม่หลงไปทำสิ่งไม่ดีที่เป็นบาป

คนที่มีจิตใจเป็นธรรมมะ  อยู่ที่ไหนเทวดาก็คุ้มครอง  การทำบุญไม่ได้จำกัดไว้แค่การบริจาคทานเท่านั้น  การให้ความรู้  ให้ธรรมมะ  หรือแม้กระทั่งการนึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย  ล้วนนำมาซึ่งผลบุญทั้งนั้น  คนบางคนยอมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพียงเพราะต้องการให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น  โดยไม่แยกแยะถูกผิด  ในท้ายที่สุด  จิตก่อนตายก็ต้องพาไปนรกเป็นที่ตั้ง  วันนี้เรามาเริ่มเตรียมตัวตายกันได้แล้วครับ

ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ  ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  ใช้ธรรมชาติเป็นตัวบำบัดความทุกข์ใจ  ความเศร้าหมองของจิตใจ  กิเลส และสิ่งยั่วยุ  พาจิตใจตัวเองให้สูงและเข้าถึงธรรมชาติให้ได้  ปล่อยวางและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพียงเท่านั้นก็คือการเตรียมตัวตายที่ดีแล้วครับ  สุดท้ายผมขอฝากไว้ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความเหลื่ยมล้ำในสังคมไทย


เมื่อวานเพื่อนผมคนหนึ่งมาปรึกษา เรื่องเกี่ยวกับการหางานใหม่  ผมก็ลองถามหาสาเหตุที่เขาอยากเปลี่ยนงาน  ก็มาจากปัญหาทั่วไปที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องเจออยู่แล้วครับ  โดยส่วนตัวผมปัญหาของมนุษย์มักจะไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่  มันก็จะวนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ  นั่นแหละครับ

สิ่งที่ทุกคนกลัวกันมากที่สุดก็คือ  กังวลกับอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง  มันก็ช่างน่าแปลกใจนะครับ  คนเราพอทำงานไปสักพัก  เริ่มมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง  จึงเป็นเหตุให้สังคมไทยเลยหันหลังให้งานบริษัทเอกชนมากขึ้นทุกวัน  แล้วกลับผันตัวเองไปสอบเป็นข้าราชการแทน  ถึงแม้เงินเดือนจะน้อย  แต่ความรู้สึกมั่นคงในระยะยาว  มันดีกว่า  เพื่อนผมทำงานบริษัทญี่ปุ่นหลายคน  เงินเดือนสูง โบนัสก็เยอะก็ยังมีความคิดแบบนี้เลย 

กลับกลายเป็นว่าสังคมไทยคนเก่ง  แห่ไปทำงานราชการกันหมดแล้ว  ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าระบบราชการไทยเป็นอย่างไร  ตรงนี้ผมขอเว้นนะครับ  ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  ถ้าหากภาคเอกชนไทย  จำเป็นต้องจ้างต่างชาติ (เพื่อนบ้านในอาเซียนเข้ามาทำงานแทน)  ผมหมายถึงงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางนะครับ 

คนไทยจะมาบ่นกันไม่ได้  เพราะระบบสังคมสร้างกันมาแบบนี้เอง  ผมอยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนมากกว่านี้  เพราะประเทศไทย อย่างที่ทุกท่านทราบ  ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริง ๆ คือภาคเอกชนนะครับ  สังเกตุได้จากต่อให้การเมืองเราไม่นิ่ง  แต่ประเทศเราก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้  ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก 

เหตุผลที่ผมคิดแบบนี้ก็เพราะว่า  คนไทยเป็นคนเก่ง  แต่คนเก่งกลับอยากสบาย  นั่นก็ไม่ผิด ก็เลยเลือกงานที่สบายและมั่นคงเป็นอันดับแรก  แต่ถ้ามองในระดับมหัพภาค  ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกวันนี้ก็คือ ภาคเอกชน  นับวันคนเก่งน้อยลงเพราะไปสอบเข้าราชการกันหมด  คุณก็ลองมองภาพจากปัจจุบันไปอนาคตก็พอทราบแล้วนะครับ  ว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ค่านิยมทางสังคมเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงกันยากจริง ๆ ครับ  ผมก็เข้าใจนะครับว่า ภาคเอกชนยังมีข้อจำกัด  ในหลายด้านที่ไม่มีผลในการจูงใจ  คนเก่งเข้ามาทำงานได้มากเท่าที่ควร  (ถ้าไม่มองไปถึงบริษัทใหญ่ ๆ นะครับ แต่มันก็ส่วนน้อยจากทั้งประเทศ)  จะว่ากันไปแล้วผมมีเรื่องขำ ๆ อย่างหนึ่งนะครับ

ที่คนส่วนใหญ่พูดว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก  อันนี้มันก็มีส่วนจริงอยู่นะผมว่า ... แต่ในข้อเสียก็มีข้อดีอยู่ครับ  มันเลยทำให้คนไทยเป็นคนไม่ติดกรอบ  และมีความคิดสร้างสรรค์ที่สูงมาก  เรียกว่าบางทีหลุดจักรวาลไปเลย  จะสังเกตุได้ครับว่าคนอ่านหนังสือมากๆ  เป็นคนเก่งก็จริง  แต่ก็มีความกลัวซ่อนอยู่  ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจกับบางเรื่อง  ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญกับชีวิต

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วทุกประเทศต่างก็มีปัญหาของตัวเอง  ยังไงก็แก้ไขกันไปนะครับ  สิ่งสำคัญคือ  ตัวเราต้องรู้จักตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด  เราอาจไม่ใช่คนที่เยี่ยมที่สุด  แค่เราทำหน้าที่ของตัวเราเองให้ดีสุด  ผมก็มั่นใจว่าถึงเเม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดทุกอย่าง  แต่ก็ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมากเลย


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เข้าใจความแตกต่าง และเลือกทำในสิ่งที่เราถนัด


สองสามวันมานี้  ผมกลับบ้านเพราะยุ่งอยู่กับงานแต่งงานของน้องชาย  ตัวผมมีความรู้สึกว่าตัวเอง  ยังมีข้อบกพร่องที่ยังต้องปรับปรุงอีกมากมาย  คนเราไม่เก่งไปทุกเรื่องหรอกว่าไหมครับ

เพราะฉะนั้น  หัวข้อที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ก็คือ  เลือกทำในสิ่งที่เราถนัดก็พอ  สิ่งไหนที่เราไม่ถนัดเราก็แค่ปล่อยให้คนอื่นเขาจัดการไปดีกว่าครับ  การทำกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเรา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ธุรกิจ  การสังสรรค์  ทุกอย่างล้วนต้องพบเจอผู้คนทั้งสิ้น

ความฉลาดในการวางตัว  และควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก บุคคลจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราแสดงออก  โดยเฉพาะยิ่งกับคนสนิทใกล้  ไม่ควรที่จะไปใช้อารมณ์กับเขาให้มาก  คุณต้องรูจักควบคุมอารมณ์ให้ดี  ยอมรับและเคารพในความแตกต่างที่เกิดขึ้น

ถ้าหากจะมองกันจริง ๆ แล้วพฤติกรรมนิสัย  ความชอบของเรา  ล้วนส่งผลต่อความถนัดและไม่ชอบของเราไปด้วย  บางทีนะครับผมว่า  การที่เราเป็นคนธรรมดามันที่ดีทีสุดแล้วครับ  มันทำให้ผู้คนเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น  การเป็นคนง่าย ๆ อ่อนน้อมถ่อมตน  ทำให้มีแต่ผู้คนรักและอยากที่จะให้การช่วยเหลือเรา  ถ้าหากเราเป็นคนที่หยิ่งทนงตนเอง  ก็ยากที่จะมีคนคบค้าสมาคมด้วย นิสัยมนุษย์ไม่อยากให้ใครเด่นกว่าตัวเองหรอกครับ

บางทีแกล้งโง่บ้างก็ดีนะครับ  ต่อให้เรารู้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกว่าเราฉลาดไปซะทุกเรื่องก็ได้  โลกใบนี้เราไม่รู้จริง ๆ หรอกครับว่า  เขาหวังดีกับเรามากน้อยแค่ไหน  การที่เราเป็นคนง่าย ๆ มันก็ทำให้ชีวิตเราง่ายไปด้วย  บางทีชีวิตเราก็กังวลกับอะไรมากมายไปหมด จนเราไม่กล้าที่จะลงมือทำและตัดสินใจกับอนาคตของตัวเอง  กลัวความไม่มั่นคงแน่นอนในชีวิต

สิ่งที่ดีที่สุดของความมั่นคงก็คือ  "เราต้องพอดี พอใจ กับสิ่งที่เป็นอยู่"  นี่แหละครับจึงจะทำให้สภาวะจิตใจเรามั่นคง พอจิตใจมั่นคง  ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอะไร  ต่อให้มันผิดพลาดไปบ้าง  ก็ถือว่าเราได้ยอมรับความเสี่ยงมาระดับหนึ่งแล้ว  การตั้งเป้าหมายในชีวิต  ไม่ใช่แค่ใช้เงินเป็นตัววัดอย่างเดียว  แต่เงินคือปัจจัยที่เกี่ยวเนื่อง  และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

การเลือกทำในสิ่งที่ชอบ  และถนัดก่อให้เกิดการสร้างผลงาน  สร้างสิ่งใหม่ให้กับโลกเรา  สิ่งที่จะสร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับคุณ  โดยส่วนตัวผม  คนขยันอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ครับ  ขอเพียงเรามีวินัยในการใช้จ่ายเงิน  รู้จักหาให้ได้มากกว่าจ่าย  และมองหาลู่ทางใหม่ ๆ ในการทำมาหากิน  อย่าไปวางแผนให้ใหญ่ก่อนเลยครับ  แค่ทำจากจุดเล็ก ๆ ไปก่อน  แล้วค่อย ๆ ขยับขยาย  ในที่สุดคุณก็ประสบความสำเร็จได้

โลกเราทุกวันมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก  สำหรับประเทศไทยผมว่า  ความหลากหลายนี่แหละคือ เสน่ห์  ที่เรามีไม่เหมือนใคร  ภายนอกดูวุ่นวาย  แต่ภายในเราเต็มไปด้วยความอบอุ่น  ไม่ว่าจะเป็น  วัฒนธรรมความเป็นอยู่  ภาษาที่ใช้  อาหารการกิน  หรือแม้กระทั่งหน้าตา  (หลายคนอาจบอกว่า ยุคนี้ต้องสวยหล่อแบบเกาหลี  แต่ผมว่า  สวยในแบบที่เราเป็นนี่แหละคือสิ่งที่วิเศษสุด  ถ้าทำมาแล้วหน้าเหมือนกันทั้งประเทศ  ผมว่า..โลกนี้คงน่าเบื่อซะมัด  เพราะความแตกต่าง  คือสิ่งที่ทำให้คนเราโดดเด่น  และมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเราเอง)

ใครจะว่าอะไรยังไงผมก็ไม่อาจทราบได้  บางทีความต้องการของมนุษย์แบบไม่มีสิ้นสุด  มันก็ทำให้โลกพัฒนาไปข้างหน้าได้  แค่เราต้องรู้ขอบเขตเท่านั้นเอง  การวิ่งตามคนอื่นมีแต่ทำให้เรายิ่งถอยหลัง  แต่ถ้าชัดเจนกับตัวเรา  เลือกทำในสิ่งที่จะพาใจเราไปยังสิ่งที่เราถนัด  เสริมสร้างมัน  พัฒนาต่อยอดมัน  ยังไงซะการเป็นผู้นำ  ย่อมดีกว่าการที่เราต้องเป็นผู้ตามเขาตลอดไปแน่นอนครับ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ภาษาไทยในญี่ปุ่น


วันนี้ผมขอพูดในหัวข้อนี้แล้วกันครับ  เพื่อนบ้านในอาเซียน มักจะมีคำถามมาตลอดว่า  ทำไมคนไทยจึงชอบเปรียบเทียบตัวเองกับประเทศญี่ปุ่นมากกว่าประเทศในแถบอาเซียนด้วยกัน

เหตุผลส่วนตัวของผมนะครับก็เริ่มจากคำว่า  ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีกับเรามาอย่างยาวนานมาก  หากย้อนไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ทหารนำพลขึ้นบกที่ไทย  ในเวลานั้นผมคิดว่า คนไทยก็คงกลัวมากกับเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก  แต่ทหารญี่ปุ่นก็ให้ความเชื่อมั่นกับไทยกับเราว่า  ต้องการเป็นพันธมิตร  และจะไม่ทำร้ายประชาชนของเรา

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นก็ได้ปิดประเทศไปนานทีเดียว  เมื่อได้มีการเปิดประเทศ  ประเทศแรก ๆ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็คือ ญี่ปุ่น  (จากประเทศไทยที่ยังไม่ได้พัฒนาอะไรมากมายแต่เขาก็ให้ความเชื่อมั่นกับไทยเรา)  เหตุการณ์ความประทับใจในหลาย ๆ อย่างและความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นตลอดหลายร้อยปี  ประกาศแรก ๆ ก็คือ 1.ศาสนา  2. สถาบันกษัตริย์ 3.วัฒนธรรมที่มีอย่างยาวนาน นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนไทยถึงชอบญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

และนอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมาย  ที่เมื่อประเทศไทยประสบปัญหา  ญี่ปุ่นจะเป็นชาติแรกที่กระโดดเข้ามาช่วยเหลือไทยเรา  จากความสัมพันธ์ก็กลายมาเป็นความผูกพัน  ทุกวันนี้อะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นคนไทยแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก  ในขณะเดียวกันกระแสประเทศไทยที่ญี่ปุ่น ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน  วัฒนธรรมธรรม การท่องเที่ยว  ไม่แตกต่างอะไรจากที่เราก็นิยมชมชอบญี่ปุ่นเลยครับ

ในโตเกี่ยว  มีโรงเรียนสอนภาษาไทยเกิดขึ้นมากมาย  ทำให้ผมได้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นประเทศไทยเราโชคดีนะครับ  เรามีภูมิประเทศที่สวยงาม  มีภาษาที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่สวยงาม แบบนี้คนไทยเราทำไมถึงได้ดูถูกประเทศตัวเองครับ  เราควรช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอดสิ่งเหล่านี้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเรา  (ต้องขอขอบคุณพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมาก ๆ เลยครับ  ที่มีภาษาไทยให้เราใช้ถึงทุกวันนี้)

อย่างที่เราทราบ  เราไม่ใช่ชาติที่อนุรักษ์นิยมอะไรมากมาย  เเต่เราก็ไม่เคยลืมรากเหง้าของความเป็นไทยเราจริง ๆ  ถึงแม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเยอะมาก  แต่เราก็สามารถผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว  นี่แหละคือเสน่ห์ของไทย  คนไทยเป็นคนที่เปิดรับ และเปิดใจกับคนหลากหลายเชื้อชาติมาก  นับว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ  ที่เราถูกสอนไม่ให้เหยียดเชื้อชาติ  ในแง่ของภาษาไทยแล้ว  สำหรับผมภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก  แต่ก็เต็มไปด้วยถอยคำที่สุภาพมากมาย เช่น  ขอบคุณครับ  ขอบคุณค่ะ  สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ มันฟังดูมีหางเสียง  และน่าเอ็นดูมาก

เราเติบโตมากับสังคมพุทธศาสนา  ศาสนาหล่อหลอมให้คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ  และรู้จักเสียสละ รู้จักให้อภัยผู้อื่น  เราถูกสอนว่าการเอาเปรียบผู้อื่นเป็นเรื่องที่น่าละอาย  และอีกหลากหลายอย่าง  ข้อที่สำคัญที่สุดคือ  ความจริงใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์  นับเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยครับ  โลกเราเต็มไปด้วยความวุ่นวายมากพอแล้วครับ  สำหรับต่างชาติบางคนบอกว่าประเทศไทยอากาศร้อน  ใช่ครับบ้านเราอากาศร้อน  แต่คนไทยมีน้ำใจ  มีรอยยิ้ม  สิ่งที่นี้แหละมันเป็นยาวิเศษที่คลายร้อนได้เป็นอย่างดี  ในมุมของคนต่างชาติการได้เห็นรอยยิ้ม  เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากสำหรับพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอีสาน  เป็นสังคมที่ผมว่า..มีเสน่ห์มากนะครับ  มันสะท้อนอะไรได้ดีมากมายเลยทีเดียว ผมไม่ได้อวยนะครับ  ตัวผมเป็นเป็นคนเหนือครับ  แต่ชอบฟังเพลงอีสานมาก  ผมว่ามันมีเอกลักษณ์และสนุกมากกว่าเพลงเกาหลีซะอีก  ความชัดเจนในภาษา สะท้อนความเป็นพื้นบ้านของท้องถิ่นออกมาได้อย่างลงตัว  นี่แหละครับคุณค่าแก่การอนุรักษ์ไว้มาก  ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง  คุณค่าทางวัฒนธรรมก็ยังสะท้อนได้เป็นอย่างดี  ไม่เคยหลุดจาก Trend ของโลกไปได้ ขอบคุณจากใจจริงครับ

การพัฒนาที่ยั่งยืนที่สุดในมุมมองของผม  ก็คือ  การอนุรักษ์ในเรื่องศิลปะวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ได้นานที่สุด  ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถสร้างมูลค่าและเพิ่มคุณค่าไปได้ในตัว  คุณอาจสามารถสร้างตึกสูงเสียดฟ้าได้  แต่ก็ไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ในความเป็นชาติได้  ในที่สุดก็จะถูกทอดทิ้งได้  ตั้งสติก่อนจะคิดและทำอะไรให้รอบคอบก่อนนะครับ  ว่า..เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ?  ผมฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ให้เวลากับตัวเอง


ช่วงที่จิตใจคุณว้าวุ่นกับอะไรบางอย่าง กำลังสับสน  มีความไม่มั่นคงทางด้านจิตใจเท่าที่ควร  นั่นกำลังแสดงให้เห็นว่า  มีบางอย่างที่เราต้องเริ่มชัดเจนกับตัวเอง  เราต้องให้เวลากับตัวเองแล้วละครับ  คนเราบางทีการวิ่งเร็วจนเกินไป  ก็อาจทำให้เราหกล้มไม่เป็นท่าได้  ค่อย ๆ ไปเดี๋ยวก็ถึงได้เช่นกัน

ผมมานั่งทบทวนตลอดเวลาที่ผ่านมานะครับ  ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามการบริโภคข่าวสาร  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั่นแหละ  โลกก็ยังเหมือนเดิม  แต่ความคิดเรานั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงไปตามการรับรู้  เราไม่อาจปฎิเสธได้จริง ๆ  โดยเฉพาะบางที  ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ  หาไม่มันอาจส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน  เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบโลกสวย  แบบคนหน้าบางว่า  มนุษย์เราต้องเป็นคนดี  ทั้งฉากหน้าและฉากหลัง  แต่ในวงการธุรกิจมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปซะหมด 

กฎไกลบางอย่างที่ซับซ้อน  เราไม่สามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ยุคนี้ได้  เพราะมันเต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สิ้นสุด  เราไม่อาจคาดเดาว่าคนที่เราเชื่อใจ  จะอยู่ข้างเราได้เสมอไป  เพราะไม่แน่ว่าเมื่อผลประโยชน์เขามาเกี่ยวข้อง  เขาอาจจะเปลี่ยนใจจากเราได้เสมอ  ทุกคนต่างก็ต้องการได้รับสิ่งที่สุดที่สุด  เพราะนั่นแหละคือ มนุษย์  ฟังดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องความเห็นแก่ตัวอะไรหรอกครับ  แต่คนไทยเราถูกสอนมาแบบนี้  เลยทำให้เรากลายเป็นคนขี้เกรงใจ  และมองว่าหากตัวเองถูกกระทำแบบนี้  คือ โดนรังแก และถูกเอาเปรียบ 

แท้ที่จริงมันคือ ความเป็นจริงของโลก  ใครที่มีอำนาจต่อรองมากกว่า  ผู้นั้นก็คือคนที่อยู่เหนือกว่าเท่านั้นเอง  สิ่งที่มนุษย์ทำได้ก็คือ  เราต้องรู้จักการปรับตัวในการดำรงชีวิตอยู่  แบบชาญฉลาด  รู้ทันเหตุการณ์ และทันผู้คน  เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ  หรือหากต้องตกเป็นรองเราก็จะได้เสียเปรียบได้น้อยที่สุด  นี่แหละโลกของความเป็นจริง 

คนไทยเป็นคนที่อ่อนไหวกับบางเรื่องค่อนข้างมาก  และจะกลัวการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งใหม่  พอจะทำอะไรก็ตามแต่  สิ่งแรกที่มองออกมาก่อนว่า  "จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่"  เรามองอะไรที่เป็นระยะสั้นจนเกินไป  เราถูกฝึกสอนแค่ให้คิดถึงแค่ "กำไรและขาดทุน" แท้ที่จริงนะครับ ผมอยากให้คนไทยเราคิดให้ลึกกว่านั้น  มองข้ามเรื่องตัวเลขเหล่านี้ไปก่อน  แต่ให้ไปโฟกัสในระยะยาวที่เราจะได้  และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เพราะบางทีการที่เราไปตัดสินอะไรจากระยะสั้น  มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น  มีแต่จะทะเลาะกันและจบไม่สวย

พอเราโตขึ้นเราเรียนรู้กฎไกลบางอย่างที่มันซับซ้อนขึ้นทุกที  จนเราห่างไกลกับความเป็นธรรมดาไปมาก  เรากลับดูทนงตัวเองมากขึ้น  แต่กลับกัน  นับวันเรายิ่งห่างไกลจากความเป็นตัวตนของเราไปมากขึ้น  เราลืมเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตเรา  เราลืมไปว่าเรามาจุดนี้เพื่ออะไร  อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำ และจะไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการได้อย่างไร  การให้เวลากับตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

 เริ่มยังไงเหรอครับ  เริ่มจาก...กลับมาที่จุดที่คุณเริ่มต้นแรก  ๆ  ผมไม่ได้ให้คุณถอยไปจุดเริ่มต้นแบบนั้น  หมายถึงการทบทวนว่าเรามาที่นี้ตั้งแต่แรกเพราะอะไร  เราต้องการอะไรจากที่ที่เราเป็นอยู่  ใช้เวลาทบทวนและอยู่กับตัวเราเองให้มาก ๆ  เลิกติดตามข่าวสารบ้างก็ได้  ให้ใจเรามันได้พักจริง ๆ จากเรื่องวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตของเรา  ตัดเรื่องกังวลและเรื่องที่เข้ามารบกวนจิตใจเราออกไปให้หมด 

จิตคนเรานะครับ  พอมันเริ่มนิ่งมันก็จะเหมือนน้ำที่ใสสะอาด  เราจะเห็นความจริงบางอย่าง  เราจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้น มันคือความต้องการที่แท้จริงของเรา มนุษย์เราไม่สามารถปฎิเสธความต้องการที่มันอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเราได้หรอก  เพราะในท้ายที่สุด มันจะกลับมารบกวนจิตใจเราอยู่นั่นแหละ  ถ้าหากว่าเรายังทำมันไม่สำเร็จ  เพราะมันคือ "จิตใต้สำนึก" ของเรานั่นเอง  ก่อนอื่นเราต้องยอมรับในความต้องการนั่น แบบตรงไปตรงมา  พอเราเริ่มเข้าใจมัน  และปรับตัวกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราได้  ก็จะมีพลังงานบางอย่างส่งมาที่เรา  พลังงานนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคน  มันซ่อนอยู่และจะผลักดันให้เราทำอะไรบางอย่าง  และคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับตัวเราเอง  ผมเรียกมันว่า "สติ" มันอยู่กับเรามาทั้งชีวิต เพียงแต่เราไม่เคยที่จะศึกษาและทำความเข้าใจกับมันต่างหาก  

ในท้ายที่สุดของชีวิตมนุษย์  ต่อให้เราจะร่ำรวย สูงส่งขนาดไหน  หรือว่าเราจะกลายเป็นผู้มีอำนาจบารมีมากมายแค่ไหน  ถ้าหากเราไม่เขาใจในพลังงานตัวนี้  ก็ยากที่เราจะควบคุมตัวเราเองได้  ผลเสียของการควบคุมมันไม่ได้  เราก็จะกลายเป็นปีศาจที่ฆ่าตัวเราไปทีละน้อย  รอความตายเพื่อให้ยมฑูตมาพรากวิญญานอันไม่บริสุทธิ์ของเราไปเอง  ชีวิตมันอยู่ที่เราเลือก เราจะเป็นผู้ควบคุมมันหรือให้มันมาควบคุมเรา  เพราะฉะนั้นจงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีสติครับ


วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Asian trend


พูดถึง Trend ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในเอเชียบ้านเรา  ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายรูปแบบ เป็นต้นว่า

ประเทศญี่ปุ่น     Trend คือ  (วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร เทคโนโลยี และการดูแลสุขภาพ)

ประเทศจีน        Trend คือ (ผู้นำของอาเซียน เทคโนโลยี  การศึกษา แพทย์แผนจีน เศรษฐกิจแนวหน้า)

ประเทศเกาหลี   Trend คือ  (เพลง ละคร ซีรีย์ นักแสดง และการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า)

ประเทศไทย      Trend คือ  (วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร และการศัลยกรรมแปลงเพศ)

ประเทศสิงค์โปร์  Trend คือ (การศึกษา การท่องเที่ยว และ การพัฒนาบุคลากร)

ประเทศฮ่องกง  Trend  คือ  (การค้าขายแบบเสรี  ธุรกิจ และการศึกษา)


จริง ๆ มีอีกหลายชาตินะครับ  ผมขอเอาชาติที่คนไทยรู้จักมากที่สุดมาพูด  คุณเห็นอะไรจากสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่ผมเห็นก็คือ  Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเอเชีย  เม็ดเงินที่จะไหลเข้าประเทศแถบเอเชียเหล่านี้  และบทบาทที่จะมีต่อสังคมโลกที่จะเปลี่ยนไป  เอเชียกำลังจะกลายเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นเอเชีย Need ที่จะเกิดการผสมผสานความเป็นเอเชียเข้าด้วยกัน  แบบแยกกันไม่ออก  ต่างกันแต่เอกลักษณ์ของชาตินั้น ๆ  ยกตัวอย่างประเทศเกาหลี  หน้าตาแบบดารา นักร้อง นักแสดงเกาหลี กำลังเป็นที่นิยมใน Trend ปัจจุบัน  แต่ในอนาคตผมเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนไป  (Asian look)  จะเข้ามาแทนที่ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คำว่า Asian look เป็นยังไงก็ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว ในมุมของผม ขอสรุปดังนี้

1.หน้าตาสวยหล่อ  แบบเอเชีย  และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามเชื้อชาตินั้น ๆ

2.มีเสน่ห์ในแบบที่คนเอเชียควรจะมี เช่น ความเคารพต่อผู้ใหญ่  พ่อแม่ และผู้พระคุณ

3.มีรสนิยม  ในที่นี้ผมหมายถึงแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองได้ดี  ในแบบที่เชื้อชาติของตัวเองจริง ๆ  ไม่ใช่การตาม Trend หรือกระแสโลก

ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงครับ  เพราะการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต  จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ อะไรหรอกครับ แค่โลกมันดูแคบลง เนื่องจากเทคโนโลยียุคใหม่ ทำให้ผู้คนเข้าถึงกันได้มากขึ้น  ก็เลยเกิด Trend ใหม่ ๆ ขึ้น  ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ให้มากหรอกครับ  แต่รู้ไว้มันก็ดีกว่าที่เราตามโลกไม่ทันเลย  ถึงแม้เราจะเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กบนโลกใบใหญ่นี้  แต่มนุษย์ตัวเล็กก็สามารถจะสร้าง"คุณค่า" ให้กับโลกใบนี้ได้  เพราะฉะนั้น  เราจึงไม่ควรดูถูกซึ่งกันและกัน  ไม่มองว่าชาติเขาต่ำกว่า  หรือชาติเราดีกว่าเขา นั่นเป็นความคิดของคนที่ดูไม่มีการศึกษา  และไม่ได้รับการพัฒนาทางด้านความคิดเอาซะเลย

คนยุคใหม่เราเป็นเอเชียด้วยกัน  เราควรแสดงศักยภาพรวมกันให้เป็นหนึ่ง  ทำให้ชาติตะวันออกอย่างเรา  เจริญรุดหน้าทั้งทางด้านวัตถุ ด้านศีลธรรม และการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สูงสุด  เพราะนั่นคือสิ่งที่จะส่งต่อกัน  ให้รุ่นหลัง ๆ  สามารถนำไปพัฒนาชาติบ้านเมืองได้ดียิ่งกว่าในยุคของเรา  กว่าที่เอเชียของเราจะลืมตาอ้าปากกันได้  มันก็ปามาหลายทศวรรษแล้ว  ผมว่ามันน่าคิดนะครับ  เพราะปัจจุบันคือสิ่งที่จะสะท้อนไปได้ดีในอนาคต

     

ตีแผ่สังคม


ในปีที่ผ่านประเทศไทยมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย  และในทุก ๆ เหตุการณ์ก็มีทั้งคนที่เจ็บปวด เป็นทุกข์ แต่เราก็ผ่านมันไปได้ดี  วันนี้ผมขอมาพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นสังคมเรื่อง ทุนนิยม  ที่กำลังแพร่ขยายไปทั่วประเทศไทย

โดยเฉพาะข่าวฮอตในช่วงนี้  "ซีพีกำลังเตรียมจะเปิดร้านอาหารตามสั่ง 24 ชั่วโมง"  พอข่าวนี้ออกมานะครับ  มีแต่คนมาคอมเมนท์ในทางลบเยอะมาก  จากพวกนักเลงคีย์บอร์ด  จะว่ากันไปแล้วสิ่งที่เขาพูดมานั้นมันก็ถูกนะครับ  แต่มันแค่ส่วนเดียวเท่านั้น   แล้วอะไรคือส่วนที่เหลือ

เอาเป็นว่าในมุมของผม  ผมขอมองแบบนักเศรษฐศาสตร์นะครับ  ประเด็นเกี่ยวกับการที่ซีพีจะมาเปิดร้านอาหารตามสั่ง  ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ  (ยิ่งถ้าเขามีมาตรการเกี่ยวเรื่องเหล่านี้แบบชัดเจนและไม่เป็นการเอาเปรียบพ่อค้าแม่ค้าจนเกินไป) ในแง่ไหน

1.การควบคุมราคาสินค้าทางอ้อม  พ่อค้า แม่ค้า ส่วนใหญ่พอน้ำมันขึ้น ราคาแก๊สหุ้งต้มขึ้น  ก็จะใช้เหตุผลนี้ในการขึ้นราคาสินค้า  เวลาขึ้นทีไม่ได้ขึ้นทีละ 1-2 บาท แต่ขึ้นทีละ 5-10 บาท มองแล้วก็ไม่ต่างจากผู้บริโภคคือคนที่เสียเปรียบนะครับ  และพอราคาน้ำมันหรือเเก๊สมันลดลง  ราคาอาหารตามสั่งก็ไม่ได้ลดลงตาม

2.เกิดการจ้างงานเพิ่ม  ในการทำร้านอาหารจำเป็นต้องมี พนักงานเสริฟ์  คนล้างจาน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ คนทำอาหาร

3.ทางเลือกสำหรับใหม่สำหรับผู้บริโภค  โดยปกติถ้าหลังจากเย็นไปแล้ว เราแทบจะหาซื้ออาหารกินไม่ได้เลย  แบบที่เป็นตามสั่งนะครับ  ที่ซีพีเห็นช่องว่างตรงนี้  ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยครับ ยิ่งในสังคมเมืองปัจจุบัน  ทำงานกันแทบ 24 ชั่วโมง นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

จริง ๆ ก็มีอีกหลายเหตุผลนะครับ  เหตุผลที่ผมคิดแบบนี้ผมมองว่า  สังคมไทยโดยส่วนใหญ่เราจะเป็นพวกมนุษย์เดือน  กับพวกชนชั้นแรงงานที่มีการจ้างแบบรายวัน ถ้าหากผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ได้รับความสะดวกสบาย  และเป็นธรรม ย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมาก  อีกประการหนึ่งในมุมของพ่อค้าแม่ค้า  ที่ขายอาหารตามสั่ง ต่อให้ราคาสินค้าขึ้นจริง  ก็ไม่ได้ทำให้คุณขาดทุน เพียงแค่ได้กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง  (ถ้าหากว่าร้านคุณยัังมีคนเข้าแบบสม่ำเสมอ)  อีกอย่างรายได้ของอาหารตามสั่ง ผมว่ามันผันแปรกับปริมาณที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า ว่าคุณจะได้กำไรมากหรือน้อย  ไม่ได้เกี่ยวกับราคาสินค้าที่แพงขึ้นสิ่งนี้มันเป็นผลกระทบทางอ้อมไปมากกว่า

ที่ผมเขียนหัวข้อนี้ผมไม่ได้มีส่วนได้อะไรกับซีพีเขานะครับ  เพียงแต่ว่ามองอีกมุมที่คนไทยหลายคนอาจมองข้ามไป  เป็นเรื่องที่แปลกมากกับสังคมไทยเรา  นับวันเราเป็นคนคิดลบกันมากขึ้น  เราเชื่อใจคนอื่นน้อย สนใจเรื่องของคนอื่นมากขึ้น จนแทบไม่มีเวลาไปจัดการกับปัญหาของตัวเอง  ในที่สุดก็กลายเป็นปัญหาสังคมไป  

บางทีนะครับผมเห็นในโลกโซเซียล  มีการด่าประเทศของตัวเอง  ผมมีความรู้สึกเสียใจแทนประเทศชาติเลยครับ  ที่คนไทยไม่รักประเทศของตัวเอง  ผมอยากจะบอกคุณนะครับว่า  ถ้าคุณได้ลองไปทำงานไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ  ไม่ใช่การไปเที่ยวนะครับ  คุณจะรู้ว่าประเทศไทยของเรานี้โชคดีที่สุดแล้ว  ส่วนตัวผม  ผมไม่เคยสนใจเลยครับว่าคนในชาติอื่นเขาจะมองมาที่ประเทศเราอย่างไร  แต่ผมรู้สึกภูมิใจในชาติของตัวเอง ในรากเหง้าของความเป็นไทยเรา  มีธรรมชาติสวยงาม  มีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์  มีฝนตกตลอดทั้งปี มันคือเมืองสวรรค์จริง ๆ ครับ


วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เปลี่ยนโลกใหม่ด้วยกัน

ทัศนคติ  คือ สิ่งที่กำหนดบทบาทและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคุณ 




ผมไม่แน่ใจคุณเคยพบเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า  บางทีเวลาที่คุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง  ในตัวคุณ  มันจะมีความรู้สึกภายในที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น  จนบางครั้งคุณเก็บเอาไปฝัน  ผมไม่แน่ใจนะครับว่า เขาเรียกการตกผลึกความฝันหรือเปล่า

เรือที่ขาดหางเสือ  ก็อาจทำให้เราหลงทิศทางได้  นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และนี่แสดงให้เห็นว่า ทำไมมนุษย์ต้องอยู่ด้วยความหวัง และมีเป้าหมายเป็นที่ตั้ง  อาจฟังดูเหมือนกุศโลบายนะครับ  แต่ถ้าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปแบบวัน ๆ หนึ่ง

คุณก็รู้ว่าในหนึ่งวันเราเจอเรื่องราว และเหตุการณ์ใหม่ ๆ มากมายหลายร้อยเรื่อง  จิตใจของคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไป  ไม่ต่างอะไรจากกระแสน้ำที่ไหล  เราจึงจำเป็นต้องมีสิ่งยึด นั่นก็คือ "เป้าหมาย"  เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการใช้ชีวิตจริง ๆ ของเรา

ผมมั่นใจเลยครับว่าหลายท่าน  คงไม่อยากเป็นคนที่ล้มเหลว  หรือไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน  มนุษย์เราต่างก็อยากไปที่จุดนั่น และได้ตั้งเป้าหมายกับสิ่งนั้น ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะครับ  หลายคนมักตั้งคำถามว่า  อะไรคือความสุขที่แท้จริง ?

คำนิยามเป็นคำถามที่กว้างและยากจะตอบได้แบบดีที่สุด  มันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติ  มุมมองการใช้ชีวิตของคนเราแต่ละคน  ไม่ผิด ไม่ถูก  บางทีชื่อเสียงที่เราได้มา ก็เหมือนยาพิษที่คอยรอวันทำร้ายเราก็ได้  เราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน    ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ  เพราะฉะนั้นเมื่อคุณได้เจอสิ่งที่คิดว่ามันใช่  ก็ควรลงมือทำไปเถอะครับ  มันอาจไม่มีคำว่าพร้อมอยู่จริง ๆ ก็ได้

สังคมที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก  ที่เต็มไปด้วยหน้ากาก  จนเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ข้างใน  เราอาจหลงทางได้บ่อย  มนุษย์พอเรามีมากขึ้น คนที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากตัวเราก็มากขึ้น  มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ  เพราะนั่นคือมนุษย์มักจะมีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน

คนบางคนอาจไม่เข้าใจ  ในความคิด และการแสดงออกของบุคคลในแต่ละชาติ  แต่ถ้าคุณได้ศึกษาความเป็นมา ประวัติศาสตร์ของชาตินั้น  คุณจะทราบได้เลยว่า เพราะอะไรเขาถึงทำและเป็นแบบนั้น  และถ้าคุณเป็นคนที่เปิดใจรับกับสิ่งใหม่แล้วละก็  มันจะง่ายมากเลยครับในการเข้าใจ  ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ในสังคมทุกชนชั้นในทุกประเทศ

ปัญหาต่าง ๆ ในแต่ละประเทศเกิดขึ้น  ล้วนเกิดเพราะฝีมือของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น  โลกมันก็ยังเป็นโลกใบเดิม  ไม่ได้เปลี่ยนไป  สิ่งที่กำลังเปลี่ยนก็คือ  จิตใจมนุษย์นั่นแหละครับ  ที่ต้องการให้โลกเป็นไปในรูปแบบที่มนุษย์เราต้องการ  เลยเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย  ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติ  น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย  ปัญหาขยะ  และอื่น ๆ อีกมากมาย

หากจะมองปัญหาเหล่านี้   คุณควรมองเป็นองค์รวมที่แต่ละชาติควรที่ตระหนักรู้  และร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ได้  เพื่อลูกหลานที่จะลืมตาดูโลกในอนาคตข้างหน้า  ไม่เกิน 5 ปีจากนี้โลกจะถูกเชื่อมเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  มนุษย์จะมีพฤติกรรมการเลียนแบบอะไรที่คล้าย ๆ กัน   ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี  ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้มาก  มนุษย์ก็ต้องรับมือและปรับตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น  หากสักวันหนึ่งที่คุณต้องจากโลกนี้ไป  คุณจะได้ไม่ต้องขึ้นชื่อว่าตายไปเปล่า ผมขอฝากเป็นข้อคิดนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พลังชีวิต


ชีวิตบางทีมันก็ช่างน่าแปลกนะครับ  เราจะมีความกลัว หรือกังวลกับอะไรบางอย่าง  ที่เข้ามาโดยสัญชาตญานที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  ความกังวลเหล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับช่วงอายุและวัยของคุณเช่นกัน

ในวัยเด็ก  สิ่งที่ผมจะกังวลมากที่สุดก็คือ  เมื่อไหร่จะได้ไปเล่นสนุกกับเพื่อน  ๆ  ไม่ต้องการให้วันนี้มันหมดไปเลย

ในวัยรุ่น  สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของการเรียน  การสอบ คู่รักแบบวัยรุ่น  เรื่องการดูแลตัวเอง

ในวัยทำงาน  สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของงาน หนี้สิน ภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ

จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน  ทุกวัยก็จะมีความกังวลใจทั้งนั้น  คุณเห็นอะไรละครับ  สิ่งที่ผมเห็นนั่นก็คือ  ความไม่แน่นอนยังไงละ  เพราะไม่ว่าจะยังไงคุณก็หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้  เพราะมันคือสิ่งที่บอกว่า  คุณคือมนุษย์และยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บนโลกที่พยายามจะให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง  เราพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่  คนอื่นคิดว่ามันสร้างมูลค่าให้กับตัวเรา  จนบางทีเราก็รู้สึกหมดพลังไปกับการใช้ชีวิตในเรื่องที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อชีวิตของเราด้วยซ้ำ

คุณสังเกตุไหมครับว่า  ทำไมบางทีตัวเองต้องมานั่งทำอะไร กับพฤติกรรมซ้ำ ๆ  ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นสักหน่อย  เราเอาแต่หวังว่าสักวันชีวิตเราจะต้องเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  จนบางทีเราก็มาไกล  ไกลจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกันแน่  ความไม่แน่ใจของเราเริ่มเกิดขึ้นภายในจิตใจ  เรากังวล สับสน กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา  บางทีก็แยกไม่ออกด้วยซ้ำ  ว่าอะไรเป็นอะไร  เราตัดสินผู้คนจากสิ่งที่ได้รับรู้และเห็น  เราตัดสินทุกอย่างโดยไม่ศึกษาหาแก่นแท้ของความเป็นจริง  เนื้อหาสาระที่ผมต้องการจะสื่อนี้  คือผมต้องการอยากให้พวกคุณได้ลองกลับมาทบทวนตัวเองอีกสักครั้ง  ว่า....."เราจะสร้างพลังชีวิต" ให้กับตัวเราเองได้อย่างไร

มีคำกล่าวของคัมภีร์จีนโบราณ ชื่อ เต้าเต๋อจิง (ลัทธิเต๋า) กล่าวไว้ว่า ผู้ใดรู้ว่าตนเองมีพอแล้ว ผู้นั้นคือผู้มั่งมี

คำกล่าวสั้นๆ นี้ แฝงไปด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างมากมาย ผมกลับมานั่งคิดว่า  แล้วตัวเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ  เมื่อก่อนตัวผมเองยอมรับว่า  ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องการวางแผนชีวิต  หรือเรื่องการวางแผนการเงินเลย  ผมใช้เงินแบบไม่มีระเบียบวินัย  สิ่งที่ตามมาก็คือ  มันทำให้ผมกังวลและขาดพลังชีวิตไป   ช่วงนั้นผมรู้สึกเหมือนคนขาดพลัง  คนเราพอขาดพลังเราจะขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งใหม่  หรือลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ  แม้กระทั่งจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้ได้เลย

เรากลายเป็นคนคิดลบ  พอคิดลบมาก ๆ อคติของเรามันก็มากขึ้น  เราเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่น  และทำให้ผู้อื่นมองเราว่าเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก  จุดเปลี่ยนก็คือ  พอเริ่มเป็นแบบนี้ผมก็รู้สึกว่า  มันไม่ค่อยจะโอเครเท่าไหร่  สิ่งที่ผมเริ่มทำก็คือ  การมานั่งอยู่กับความเป็นจริง  ตรวจสอบฐานะทางการเงินของตัวเองใหม่  ยอมรับความจริง  และเริ่มวางแผนชีวิต และวางแผนการเงินใหม่ทั้งหมด  ผมฝึกทำบันทึกรายรับ รายจ่ายทุกบาท  คุณเชื่อไหมว่าพอเราได้เห็นสิ่งเหล่านั้น  เรามองออกทันทีเลยว่า  เราสิ้นเปลื้องไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นเยอะมาก  หลังจากนั้นผมก็ค่อย ๆ ปรับวิธีการใช้เงิน และวางแผนไปทีละนิด  มันทำให้ผมมั่นใจตัวเองมากขึ้น  และคิดก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไรมากขึ้น

เริ่มเข้าใจถึงคำว่าพอเพียงมากยิ่งขึ้น  มันเหมือนเกิดใหม่เลยนะครับ  มันทำให้ผมรู้สึกถึงพลังที่เข้ามาในตัวเองอีกครั้ง  ผมรักตัวเองมากขึ้น  ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนเข้าหาผมมากขึ้น ด้วยความจริงใจ  แท้ที่จริงสิ่งที่ทำให้เราหมดพลัง หรือมีพลังในทางลบ  ก็คือตัวเรานั่นแหละครับ  ผมเลยอยากเตือนสติพวกคุณ  ให้พยายามที่จะดึงพลังงานบวกเข้ามาเยอะๆ  ชีวิตจะเป็นไปตามธาตุภายในของเรา และพลังงานบวกก็จะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  คุณจะพบกับคำว่า โชคดี อยู่เรื่อยไป  คุณจะได้รับโอกาสมากมายจากการเป็นคนคิดบวก

ผมไม่ได้ต้องการให้คุณต้องไปจริงจังอะไรกับชีวิตมาก  เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะอยู่ไปอีกนานไหม  แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณโฟกัส นั่นก็คือ  การเข้าถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์   เพราะสิ่งนี้ที่จะทำให้คุณแตกต่าง  และชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก  โลกนี้ยุติธรรมสำหรับคนที่พยายามจะทำให้มันดีขึ้นแน่นอน

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การบริหารจัดการเวลา


คุณเคยสงสัยแบบผมบ้างไหมครับ  บางทีเราก็ทำตามแบบแผนทุกอย่างแล้ว  แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป  ชีวิตเรากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิมไปมากมาย  ผมลองมานั่งทบทวนนะครับว่า  ชีวิตเรายังมีจุดไหน  ที่เราหละหลวมไปหรือเปล่า  จากนั้นก็เริ่มปฎิบัติวางแผนชีวิตกันทันที

มันอาจฟังดูตลกนะครับ  ชีวิตทำไมต้องวางแผนกันจริงจังขนาดนั้น  นั่นก็เพราะว่า ถ้าหากคุณไม่ระมัดระวังตัวเองให้ดี  สุดท้ายคุณจะตกเป็นทาสของทุกอย่าง  สิ่งที่เราละเลยและให้ความสำคัญน้อยที่สุด  แต่มันมีค่ามากที่สุดก็คือ  "เวลา"  

เวลาคือสิ่งที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้   เพราะฉะนั้น  การวางแผนที่ผมพูดนี้ก็คือเวลา  คุณอาจเเบ่งตามที่คุณถนัดได้เลยครับ  สำหรับผมใช้วิธีการ ดังนี้


1. "เวลา"  ในการทำงานเพื่อหาเงินสร้างอิสรภาพให้กับตัวเอง

2. "เวลา"  ในการอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนบางสิ่งบางอย่าง

3. "เวลา"  ในการพัฒนาตัวเองและพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ

4. "เวลา"  ในการพักผ่อนกับครอบครัว/ออกกำลังกาย

5. "เวลา"  ในการท่องเที่ยวหรือเดินทางเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่

6. "เวลา" ในการสร้างเป้าหมายในอนาคตของตัวเอง

แล้วของพวกคุณละ    สำหรับผมจะแบ่งความสำคัญของเวลาไว้ 6 หมวด  เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการ  ว่าในแต่ละวัน  ผมต้องทำอะไรบ้าง  และจะบริหารจัดการมันอย่างไร  ตราบใดที่เรายังไม่ใช่ระดับ  มหาเศรษฐี  ที่จะมีอิสรภาพทางเวลามากมายขนาดนั้น  เราต้องรู้จักการบริหารเวลาให้ดีกว่าเขา

ผมว่า..ชีวิตคนเราไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะอะไร   คุณก็มีความสามารถในการบริหารจัดการเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว  คนที่อ้างว่าตัวเองไม่มีเวลา  นั่นคือตัวเขานั่นแหละ  ที่ขาดวินัยในการจัดการบริหารเวลาต่างหาก  

ผมอยากให้คุณได้ลองเอาวิธีนี้ไปลองจัดการ  กับทุกอย่างในชีวิตคุณนะครับ  ต่อให้คุณจะมีเรื่องเครียดมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นปัญหา  เรื่องงาน  เรื่องเงิน  เรื่องสุขภาพ  หรือเรื่องครอบครัว  ทุกอย่างคุณจะจัดการมันได้  และลดความกังวลในใจคุณไปมากทีเดียว  ไม่ใช่ว่าคุณเก่งขึ้น  แต่เพราะคุณรู้จักบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้แล้วต่างหาก  

คนหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้า  เครียด  ผิดหวังกับชีวิต  และฆ่าตัวตาย  นั่นก็เพราะการใช้ชีวิตที่ตึงจนเกินไป  มองไม่ออกว่า  อะไรคือความพอดีที่แท้จริง  เราอยู่กับความคาดหวังมากจนบางที  เราก็กลัวไปกับการตัดสินใจที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ  ได้  ผมอยากให้คุณลองหลับตานึกถึงอะไรบางอย่าง  บางอย่าง...ที่มันกำลังซ่อนอยู่ภายในใจคุณ  ฟังดูสับสนนะครับ  ค่อยๆ เอาไปทำเป็นการบ้านนะครับ  แล้วชีวิตคุณจะพบแต่เรื่องมหัศจรรย์แบบที่คุณจะพูดว่า  "มันอยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริง"

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความหวัง


ความหวังกับความคาดหวัง  บางทีสองสิ่งนี้เราแทบจะแยกมันไม่ออกเลยครับ  ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่กำลังทำให้จิตใจเราสับสน และวุ่นวายอยู่

ความหวัง  ในคำนิยามของผมมันเหมือนตัวแปรหนึ่ง  ที่กำลังขับเคลื่อนให้เป็นไปตามที่เราหวัง  โดยที่เราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้

ความคาดหวัง ในคำนิยามของผมมันคือตัวแปรที่เราคือผู้สร้าง สถานการณ์ขึ้นมา  และในขณะเดียวกัน  เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกว่า มันจะเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ 50/50

มนุษย์เราอยู่บนโลกของความเป็นจริง  บางทีเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ฟังดูไร้สาระ  ที่จะเอามานั่งถกเถียงกัน  แต่ถ้าเราแยกไม่ออกจริงๆ  นั่นเท่ากับเป็นการหลอกตัวเราเอง  การหลอกตัวเองก็ไม่ต่างจากการหวังลมๆ แล้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า  มันจะเป็นจริงเมื่อไหร่  ไม่สามารถจะคาดเดาทิศทางของชีวิตตัวเองได้

การใช้ชีวิตแบบไร้แบบแผน  ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากนะครับ  โดยเฉพาะกับคนโสดไม่มีครอบครัว  คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้เป็นที่สุด  มันอาจจริงนะครับว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  แต่บนความไม่แน่นอน ยังมีเรื่องให้เราต้องต่อสู้ ดิ้นร้นไปกับชีวิตอีกนาน

คนบางคนกว่าจะเจอตัวเอง  ก็แก่เกินกว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้  ก็ได้แค่เสียดายและมานั่งทบทวนกับสิ่งที่เหลืออยู่ แล้วจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้น  บางทีการยึดติดกับอะไรมากเกินไป  ไม่ว่าจะเป็น ความคิด วัตถุ สิ่งของ  สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้จิตใจคุณว้าวุ้น  เหมือนกำลังติดอยู่กับอะไรบางอย่าง  จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้  จะถอยหลังก็มาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ

วิธีแก้สำหรับปัญหานี้คือ  คุณต้องเขียนและเริ่มจดรายละเอียด  ทุกอย่างในชีวิตของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นรายรับ-รายจ่าย  กิจกรรมต่างๆ ที่ทำหรือแม้กระทั่งความสนใจ กับเรื่องทีผ่านเข้ามาในชีวิต  แล้วกลับมาทบทวนจัดประเภทใหม่  คุณจะมองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น  พอมันชัดขึ้นคุณก็จะได้กำหนดทิศทาง  ว่าคุณจะเอายังไงต่อกับชีวิตที่เหลือของคุณ

มันอาจไม่มีสูตรที่ตายตัว  เหมือนกับหนังสือหลายๆเล่มที่ท่านเคยได้อ่านมาหรอกครับ  นั่นมันก็แค่แนวทาง  เอาเข้าจริงชีวิตอย่างที่ทุกท่านทราบ  มันยังมีปัจจัยต่างๆ  ที่จะเข้ามาผกผันให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  อย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในท้ายที่สุดการใช้ชีวิตในแบบธรรมดา  ที่เรียบง่ายนั่นแหละคือทางที่ดีที่สุด  เพราะความเรียบง่ายคือเส้นทางแห่งธรรมนั่นเอง  

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ใช้ความว่างให้เป็นประโยชน์


ผมมั่นใจครับวาชีวิตคุณ  คงต้องมีสักครั้งแหระครับ  ที่รู้สึกว่าตัวเองเกิดความรู้สึกว่าง  ต่างจากเมื่อก่อนมีเคยปล่อยให้ชีวิตวุ่นวาย  และดูยุ่งไปหมดซะทุกอย่าง 

จน....เราติดนิสัยความเคยชินว่า  ชีวิตต้องขับเคลื่อนด้วยการทำงานอยู่ตลอดเวลา.....

จริงหรือครับ....แล้วถ้าหากว่างานนั้น  ไม่ได้ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์  เป็นแค่งานที่ทำซ้ำเเบบเดิมไปวัน ๆ  แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดทักษะอะไรใหม่ๆให้กับชีวิตเราเลย 

จะว่าไปนะคนเราบางทีก็ฝึกตัวเองให้อยู่นิ่งๆ  แบบไม่ต้องทำอะไรบ้างก็ดีนะ  ในมุมของผมไม่ใช่การขี้เกียจ  แต่มันคือการอยู่กับตัวเอง  เพราะการปล่อยให้ตัวเอง  ยุ่งจนเกินไป  คนบางคนหลงคิดไปว่า งานที่ตัวเองทำนี่แหละมั่นคง  มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง  บางทีผมก็ตลกนะครับ  กับความคิดเหล่านี้  เอาเถอะถ้าสบายใจก็คิดกันต่อไป 

โลกนี้นับวันก็จะเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระมากขึ้นทุกวัน  แต่ที่มันแปลกก็คือ  เรื่องไร้สาระ กลับสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น  ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการมีตัวตน  และมีพื้นที่ส่วนตัว  ในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ  พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคสร้างความฉงน  เป็นอย่างมากต่อนักวิเคราะห์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ

พอคุณลองอยู่นิ่งๆ ว่างๆ  คุณจะพบอะไรบางอย่างจริงๆ  สมองในช่วงแรก  คุณจะมีความกังวลกับอะไรบางอย่าง  เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมันขาดหายไป  แต่สักพักคุณจะเริ่มชินและค่อยๆปรับตัวกับมัน  สมองคุณจะเกิดแนวคิดใหม่ๆ  ในเรื่องต่างๆมากขึ้น

จากที่ปกติคุณอาจจะวุ่นวายอยู่กับเรื่องเดียวทั้งวัน  ก็มีไอเดีย หรือแนวคิด ช่องทางใหม่ ๆ  ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่  พอเราได้อยู่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น  เราเริ่มลดความอยากไปมากขึ้น  และมองย้อนกลับไปในมุมที่มันซับซ้อน  กลับเห็นว่า  ทำไมต้องทำให้ชีวิตมันยุ่งยากด้วย  ทั้งที่จริงมันมีวิธีที่ง่ายและดีกว่า

บางทีคนเราก็ติดกับดักของการคิดเป็นระบบ  มากจนเกินไป  ความคิดนอกกรอบจึงไม่เกิด  ลองออกจากกรอบ แล้วใช้ชีวิตตามแบบที่คุณต้องการจะเป็น  ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น  คุณอาจพบกับเส้นทางใหม่  และการใช้ประโยชน์ของความว่างได้ 

สำหรับบางคนอาจมองชีวิตว่าง  คือการทำตัวแบบไร้สาระไปวันๆ  หาแก่นสารความมั่นคงไม่ได้  คุณจะไปกังวลทำไมครับ  ในเมื่อทุกวันนี้  อะไรคือความมั่นคงที่แท้จริงเรายังไม่รู้กันเลย  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตยืนยาวไปนานแค่ไหน  เราทำตัวห่างไกลจากศาสนามากขึ้น  เราไปเคารพบูชาเงินแทน  คนมีเงินคือมีอำนาจ  และมีทุกอย่างในโลกปัจจุบัน 

อย่าให้สิ่งไม่ดีต้องมาบั่นทอนจิตใจคุณ  มันจะทำให้คุณเสียศูนย์ได้  บนพื้นฐานอะไรบนโลกใบนี้  เราต้องไม่ไปทำเหมือนคนอื่นที่ทำตามๆ กันมา  เราควรมีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจน  ถ้าคุณเข้าใจจุดยืนที่ชัดเจน  ต่อให้มีอะไรมากระทบกับคุณ  คุณก็จะไม่เปลี่ยนใจต่อหลักการของคุณแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตัดขาดพลังแห่งความคิดลบ


พลังแห่งความคิดนี่แหละครับ  ที่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สามารถเป็นไปได้  โลกอนุญาตให้เราสามารถเป็นอะไรก็ได้  ตามแต่ที่ใจของเราปรารถนา  ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นว่า  คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้  มันก็จะเป็นไปตามนั้น

การตั้งคำถามที่ดีก็จะนำมาซึ่งคำตอบที่ดีเช่นกัน  โลกเราทุกวันอยู่อยู่ยากขึ้น  เพราะคนเรามัวแต่ไปตั้งคำถามในทางลบ  


  • คนคิดลบจะไม่สามารถมองหาสิ่งดีๆได้  ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะดีก็ตาม

  • คนคิดลบจะมองทุกอย่างคือปัญหายกเว้นตัวเอง

  • คนคิดลบลึก ๆ แล้วเขากำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง  ที่ภายในใจเขา และตัวเขาเองก็ทำมันไม่ได้

  • คนคิดลบมักสร้างปัญหาให้สังคมแตกแยกและขัดแย้งกันได้


เห็นไหมละครับว่าโทษของการคิดลบ  มันมากมายแค่ไหน  แล้วทำไมเราต้องมานั่งเสียเวลากับการคิดลบละครับ  เราต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร  ถ้าเราคิดบวกผลลัพธ์มันก็จะออกมาในเเง่บวกอย่างแน่นอน


อะไรที่เราป้อนให้กับสมองตัวเองมากๆ  ในท้ายที่สุด มันก็จะสะท้อนออกมาเอง  อย่าเอาแต่โทษและมองปัญหาเล็กๆ น้อย ๆ เพื่อมาหาเรื่องหรือโทษกันดีกว่า  ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า  เราต้องก้าวไปด้วยกัน  นึกถึงช่วงเวลาที่ลำบาก  ตอนที่ประเทศชาติประสบปัญหาต่างๆ

เรายังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  และผ่านมันไปได้ด้วยดี  ใช่อยู่ครับว่า เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าชีวิตเราจะเจอคนแบบไหน  แต่เราก็สามารถที่จะเลือกคบ  เลือกปฎิบัติกับคนเหล่านั้นได้  ส่วนตัวผมเชื่อว่า  เราให้ในสิ่งที่ดี  เราก็ย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีกลับมา  มันเป็นกฎการสะท้อน

การใช้ชีวิตที่ตึงเกินไป ยึดมั่น ถือมั่น มากจนเกินไปโดยไม่ยอมปล่อย  ในที่สุด ชีวิตคุณก็จะพบกับความเครียด และโรคซึมเศร้า  และก็เป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา  มนุษย์เรามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา  เราต้องยอมรับความเป็นจริงและเข้าใจถึงความแตกต่างนั้น

เป็นในแบบของเรา  และประมาณตนเองในแบบที่เรามี  อย่าใช้ชีวิตเกินพอดี  เรียนรู้การใช้ชีวิตให้เรียบง่าย เข้าถึงหลักความจริงของชีวิต  มนุษย์เรานะครับ ถ้าเราเข้าใจจุดสูงสุดของตัวเอง  เราก็สามารถเข้าใจผู้อื่น และไม่คิดจะเอาเปรียบใคร  หรือมองชีวิตในแง่ลบไปทุกอย่าง  เข้าใจนะครับว่า  สังคมปัจจุบันถูกบีบบังคับ  ให้ผู้คนต้องเลือกอะไรบางอย่าง  ในแบบที่ตัวเราเองก็ไม่ได้ต้องการ  แต่เราก็เลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข  กับสถานการณ์ตรงหน้า

เราจะช่วยกันดึงดูดแต่พลังงานดีๆ  เข้ามาสู่ประเทศไทยของเรานะครับ  เพราะถ้าคนในชาติเราดี  ต่อให้การเมืองหรืออะไรจะไม่ดีไปบ้าง  แต่ก็สามารถจะดึงดูดผู้คน จากทุกมุมโลกให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยของเรา  อารยธรรมไทยของเราจะได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ต่างชาติก็จะให้การยอมรับเรามากขึ้นในฐานะ "คนไทย"  บุคคลที่ยากจะหาที่ไหนเหมือน

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...