ในวัยเด็ก สิ่งที่ผมจะกังวลมากที่สุดก็คือ เมื่อไหร่จะได้ไปเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ไม่ต้องการให้วันนี้มันหมดไปเลย
ในวัยรุ่น สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของการเรียน การสอบ คู่รักแบบวัยรุ่น เรื่องการดูแลตัวเอง
ในวัยทำงาน สิ่งที่กังวลก็คือ เรื่องของงาน หนี้สิน ภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ทุกวัยก็จะมีความกังวลใจทั้งนั้น คุณเห็นอะไรละครับ สิ่งที่ผมเห็นนั่นก็คือ ความไม่แน่นอนยังไงละ เพราะไม่ว่าจะยังไงคุณก็หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งที่บอกว่า คุณคือมนุษย์และยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บนโลกที่พยายามจะให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง เราพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ คนอื่นคิดว่ามันสร้างมูลค่าให้กับตัวเรา จนบางทีเราก็รู้สึกหมดพลังไปกับการใช้ชีวิตในเรื่องที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อชีวิตของเราด้วยซ้ำ
คุณสังเกตุไหมครับว่า ทำไมบางทีตัวเองต้องมานั่งทำอะไร กับพฤติกรรมซ้ำ ๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นสักหน่อย เราเอาแต่หวังว่าสักวันชีวิตเราจะต้องเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จนบางทีเราก็มาไกล ไกลจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกันแน่ ความไม่แน่ใจของเราเริ่มเกิดขึ้นภายในจิตใจ เรากังวล สับสน กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา บางทีก็แยกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าอะไรเป็นอะไร เราตัดสินผู้คนจากสิ่งที่ได้รับรู้และเห็น เราตัดสินทุกอย่างโดยไม่ศึกษาหาแก่นแท้ของความเป็นจริง เนื้อหาสาระที่ผมต้องการจะสื่อนี้ คือผมต้องการอยากให้พวกคุณได้ลองกลับมาทบทวนตัวเองอีกสักครั้ง ว่า....."เราจะสร้างพลังชีวิต" ให้กับตัวเราเองได้อย่างไร
มีคำกล่าวของคัมภีร์จีนโบราณ ชื่อ เต้าเต๋อจิง (ลัทธิเต๋า) กล่าวไว้ว่า ผู้ใดรู้ว่าตนเองมีพอแล้ว ผู้นั้นคือผู้มั่งมี
คำกล่าวสั้นๆ นี้ แฝงไปด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างมากมาย ผมกลับมานั่งคิดว่า แล้วตัวเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ เมื่อก่อนตัวผมเองยอมรับว่า ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องการวางแผนชีวิต หรือเรื่องการวางแผนการเงินเลย ผมใช้เงินแบบไม่มีระเบียบวินัย สิ่งที่ตามมาก็คือ มันทำให้ผมกังวลและขาดพลังชีวิตไป ช่วงนั้นผมรู้สึกเหมือนคนขาดพลัง คนเราพอขาดพลังเราจะขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งใหม่ หรือลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แม้กระทั่งจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้ได้เลย
เรากลายเป็นคนคิดลบ พอคิดลบมาก ๆ อคติของเรามันก็มากขึ้น เราเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่น และทำให้ผู้อื่นมองเราว่าเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก จุดเปลี่ยนก็คือ พอเริ่มเป็นแบบนี้ผมก็รู้สึกว่า มันไม่ค่อยจะโอเครเท่าไหร่ สิ่งที่ผมเริ่มทำก็คือ การมานั่งอยู่กับความเป็นจริง ตรวจสอบฐานะทางการเงินของตัวเองใหม่ ยอมรับความจริง และเริ่มวางแผนชีวิต และวางแผนการเงินใหม่ทั้งหมด ผมฝึกทำบันทึกรายรับ รายจ่ายทุกบาท คุณเชื่อไหมว่าพอเราได้เห็นสิ่งเหล่านั้น เรามองออกทันทีเลยว่า เราสิ้นเปลื้องไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นเยอะมาก หลังจากนั้นผมก็ค่อย ๆ ปรับวิธีการใช้เงิน และวางแผนไปทีละนิด มันทำให้ผมมั่นใจตัวเองมากขึ้น และคิดก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไรมากขึ้น
เริ่มเข้าใจถึงคำว่าพอเพียงมากยิ่งขึ้น มันเหมือนเกิดใหม่เลยนะครับ มันทำให้ผมรู้สึกถึงพลังที่เข้ามาในตัวเองอีกครั้ง ผมรักตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนเข้าหาผมมากขึ้น ด้วยความจริงใจ แท้ที่จริงสิ่งที่ทำให้เราหมดพลัง หรือมีพลังในทางลบ ก็คือตัวเรานั่นแหละครับ ผมเลยอยากเตือนสติพวกคุณ ให้พยายามที่จะดึงพลังงานบวกเข้ามาเยอะๆ ชีวิตจะเป็นไปตามธาตุภายในของเรา และพลังงานบวกก็จะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณจะพบกับคำว่า โชคดี อยู่เรื่อยไป คุณจะได้รับโอกาสมากมายจากการเป็นคนคิดบวก
ผมไม่ได้ต้องการให้คุณต้องไปจริงจังอะไรกับชีวิตมาก เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะอยู่ไปอีกนานไหม แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณโฟกัส นั่นก็คือ การเข้าถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ เพราะสิ่งนี้ที่จะทำให้คุณแตกต่าง และชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โลกนี้ยุติธรรมสำหรับคนที่พยายามจะทำให้มันดีขึ้นแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น