การเปลี่ยนแปลงในครั้งหลังนี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ไปเร็วด้วยเช่นกัน และสิ่งที่คุณจะเห็นได้มากขึ้นในยุคนี้ก็คือ มนุษย์ชอบการแสดงความคิด และต้องการมีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก แตกต่างจากยุคก่อนหน้า ส่วนตัวเเล้วการแสดงความคิดเห็นในความแตกต่างแบบที่สร้างสรรค์นั้น ย่อมนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่งผลต่อเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในแต่ละชาติ
ในทางโลกอาจเป็นไปในรูปแบบที่ผมได้กล่าวแล้วข้างต้น แต่ในทางธรรมอาจกลับกัน ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แม้เวลาจะล่วงมาหลายยุค นั่นก็คือ มนุษย์ยังมีทิฐิและมีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน จะมากน้อยขึ้นอยู่กับรูปแบบในการปกครองในแต่ละประเทศ ยิ่งโลกเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ มนุษย์ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น บางทีก็สงสัยในเรื่องที่ไม่ควรรู้หรือไม่ควรสงสัย
เช่นเดียวกับหลักในการปฎิบัติธรรม คุณเชื่อไหมครับว่ามนุษย์จะมีสองแบบ
แบบแรก คือ สงสัยทุกอย่างในการปฎิบัติ
แบบที่สอง คือ ไม่สนใจอะไรค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อย ๆ นั่นจึงเป็นคำถามที่ตามมาว่า การปฎิบัตินั้น ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตได้จริงหรือไม่ คำตอบของผมขอตอบแบบกลาง ๆ นะครับว่า ได้ และไม่ได้
ในมุมที่ผมมองว่าได้ ก็คือ แน่นอนครับสมาธิทำให้คุณเป็นคนมีจิตใจที่สงบ มีสติรู้อยู่ทุกเวลา มีปัญญาดีขึ้นเพราะจิตที่ว่างจากสมาธิทำให้เกิดตัวปัญญานั่นเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงเวลาหรือสถานการณ์ใด คุณจะสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์
ในมุมที่ผมมองว่าไม่ได้ ก็คือ มีหลายท่านนะครับ เคยบอกว่าการปฎิธรรมทำให้รวยบ้าง ทำให้ได้ทุกอย่างในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะหน้าที่การงาน การเงิน ผมขอตอบแบบกลาง ๆ นะครับว่า (มันตอบยากจริงๆว่าเราจะได้แบบนั้นจริงหรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล ทั้งอาศัยบุญเก่าที่สะสมไว้ และบุญใหม่ที่สร้างเข้ามาด้วย) ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ แต่ที่รู้แน่นอนคือ "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ผลชั่ว"
เวลาที่คุณไปวัดไหน พระที่บอกว่าสามารถช่วยท่านได้ แบบนี้ขอตอบว่าไม่จริงนะครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเอง ต้องอาศัยการฝึกฝนปฎิบัติและตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้มาก หลักการง่าย ๆ ให้ดูจากการตอบของท่าน ว่าสิ่งที่ตอบมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องบางเรื่องมันอยู่นอกเหนือหรือเกินความเป็นจริงที่สามารถตอบได้ พระบางท่านก็อาจจะเลี่ยงไม่ตอบเราแบบตรงไปตรงมา ซึ่งผมว่าไม่ผิด เพราะในเรื่องธรรมมะเป็นเรื่องเฉพาะตน เราจะมาให้คำตอบแบบตรงไปตรงมาไม่ได้หรอกครับ จริตของคนเรามันไม่เหมือนกัน และร่างกายของมนุษย์ก็ประกอบด้วยธาตุกำเนิดที่แตกต่างกันไป เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีมากกว่ากัน
เรื่องที่ท่านตอบได้ และสอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกพระแบบนี้น่าศรัทธาครับ จงจำไว้ครับว่า ไม่มีใครอยู่เหนือจักรวาล เราก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้นเอง อย่าไปหลงว่าเราสามารถควบคุมจักรวาลได้ มนุษย์หนีความจริงของธรรมชาติไม่ได้ เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จงมีสติทุกขณะจิตของชีวิต อย่าไปกังวลกับอะไรมากจนเกินไป เพราะความกังวล ลังเลสงสัยนี่แหระ คือตัวที่จะทำให้คุณทุกข์ และไม่สามารถเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมได้ ปฎิบัติให้มากๆ เหมือนคนที่เริ่มทำงานแรก ๆ เราก็ไม่รู้อะไรมาก พอทำเยอะ ๆ ฝึกฝนไปมาก ๆ ในที่สุดเราก็กลายเป็นคนที่ชำนาญในเรื่องนั้นไปเองโดยธรรมชาติ นี่แหละครับความจริงของชีวิตที่ต้องล้อไปตามกฎธรรมชาติ
สงกรานต์นี้ก็ขอให้ทุกท่าน จงพบเจอแต่ความสุขความเจริญ เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดกันอย่างปลอดภัยทุกท่านนะครับ ไม่ว่าจะคิดทำสิ่งไหนก็สมความปรารถนาในทุกเรื่องนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น