ปี 2018 ที่ผ่านไปมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงก็มาจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากต่างคนต่างลดละ ไม่คิดจะเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ปัญหาเหล่านี้คงไม่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ผมขอหยิบยกมาพูด 2 ประเด็นนะครับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้เเก่เรื่องของการท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต และการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของโขน
ทำไมถึงอยากเล่าถึงสองเหตุการณ์นี้ ผมว่ามันกำลังเป็นประเด็นร้อน ที่ทางโลกโซเซียลต่างมุ่งหาคำตอบกันอยู่ไม่น้อย ว่าความจริงคืออะไรกัน ใครคือผู้ที่ต้องเข้ามารับผิดชอบกับการกระทำในครั้งนี้ เริ่มจากเรื่องแรกก่อนนะครับ
เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปในพริบตา แทบจะกลายเป็นเมืองร้าง
เหตุการณ์ก็เริ่มจากมีทัวร์ศูนย์เหรียญก่อนครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลก็ไม่ได้มีกฎกติกาที่เคร่งครัด ด้วยหวังตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน เพื่อทำยอดรายได้ท่องเที่ยวให้มากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ พอเกิดเหตุการณ์เรือล่มปุ๊ป เลยต้องมานั่งทบทวนกันใหม่หมดเลย เริ่มจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญก่อนเลย จากนั้นของแก้ไขข้อกฎหมายการจัดตั้งธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจค้า กรณีที่ต้องทำทัวร์ต้องขอใบอนุญาตก่อน
ปัญหานี้จบไป ผลกระทบที่ตามมาก็คือ นั่งท่องเที่ยวจีนก็หายไปตามเพราะทัวร์หาย ในส่วนภาคประชาชนก็มากล่าวโทษรัฐบาลและเรียกร้องให้ทางภาครัฐหาแนวทางแก้ไขให้ ปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังครับ มันต้องช่วยกันแก้ทั้งสองฝ่าย
ภาครัฐ ควรเข้ามากำกับดูแลเรื่องการขายสินค้าและบริการที่สูงกว่าราคามาตรฐานมาก รวมถึงค่าเช่าสถานที่ต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะที่พักหรืออื่น ๆ ควรอยู่ในราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่แพงจนคนไทยด้วยกัน ยังไม่อยากไปเที่ยวเลยครับ (ถ้าแพงแบบนี้ไปญี่ปุ่นดีกว่า)
ภาคประชาชน/ธุรกิจ ควรมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ ไม่ใช่หวังแต่จะกอบโกยเขาลูกเดียว บางทีคุณให้เหตุผลว่าค่าเช่าแพง เลยทำให้ต้องขายแพง แต่มันแพงไปหรือเปล่าครับ คุณกะจะขายของเเล้วเป็นเศรษฐีภายในพริบตาเลย
ผมก็เข้าใจนะครับว่าจังหวัดนี้ผู้มีอิทธิพล และนายทุนค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากต่างชาติทั้งนั้น เงินที่ได้จากการท่องเที่ยวไหลเข้ากระเป๋าคนไทยหรือเปล่าผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้จะไปโทษแต่ชาวบ้านตาดำ ๆ แถวนั้นก็ไม่ได้ครับ ทุกอย่างก็สะท้อนด้วยตัวของมันเองนั่นเเหละ
เหตุการณ์ที่ไทยได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกของโขน
เป็นที่ร้อนแรงมากในกระแสชาวเน็ต ทางฝั่งกัมพูชาแสดงความไม่พอใจ กล่าวอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมของกัมพูชาที่คนไทยขโมยมา ฟังแล้วผมก็เศร้าใจมาก จริง ๆ โขนเป็นวัฒนธรรมร่วม ที่ทางเราได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย คือผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนเราต้องไปยึดติดกับอดีต หรือประวัติศาสตร์ที่มันผ่านมาแล้วก็ไม่รู้นะครับ เพราะปัจจุบันสำคัญที่สุด เราอยู่ในยุคที่ผู้คนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน
และอีกอย่างพวกเราเป็นอาเซียนด้วยกัน พวกคุณควรภูมิใจนะ ที่ประเทศไทยสามารถนำวัฒนธรรม ชาติ อาหาร และภาษา ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก การที่ประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากเท่าไหร่ มันก็มีผลพลอยได้ให้พวกคุณไปด้วย พวกเขาอาจจะไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไม่ว่าจะ พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
อีกทั้งเป็นการกระจายรายได้อีกทาง ถ้าคุณมาดูข้อมูลประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะกัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า ที่เข้ามาใช้แรงงานในประเทศไทย มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน และมีแนวโน้มจะมากขึ้นไปอีก แล้วแบบนี้พวกคุณจะมาดราม่า ใส่คนไทยทำไมละครับ
สำหรับตัวผม ผมมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลก ผมไม่เคยมองว่าเขามาจากประเทศไหน เพราะถ้าเราเอาชนชาติมาเป็นตัวกั้นซะแล้ว ไม่มีใครอยากจะมาเปิดใจอะไรกับคุณหรอกครับ ความรัก ความสามัคคีก็จะไม่เกิด นี่แหละครับเป็นเหตุผลที่ทำให้ต่างชาติสนใจมาเที่ยวประเทศไทย คือเราถูกสอนให้มองทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกไม่ว่าเขาจะมาจากที่ไหนในโลก หน้าที่ของเราก็คือ เป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้สมกับคำว่า "สยามเมืองยิ้ม"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น