วันนี้ขอนอกเรื่องนะครับ สองวันที่ผมหายไป ผมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตทางธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ชื่อปลายนา อยู่แถวปทุมธานี ไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศครับ ดูได้จากภาพเลย
ชีวิตมนุษย์เราแท้จริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ นั่นคือ
กรรมปาก กับ กรรมท้อง กรรมคือการกระทำไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดี
ทุกอย่างก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง สามตัวนี้ที่ทำให้มนุษย์ที่ไม่อบรมกายอบรมจิตก็จะต้องตกเป็นเครื่องมือของสิ่งเหล่านี้ คำถามคือแล้วทำได้อย่างไรก็คือ การเจริญภาวนาเพื่อสติของตนให้สูงขึ้น
อุปสรรค์ที่ทำให้การเจริญภาวนาไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควรก็คือ นิวรณ์ 5 ได้แก่
1.ความยินดีพอใจในกามคุณทั้ง 5 อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
2.ความโกรธแค้นขุ่นเคืองภายในจิตใจ
3.ความหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง
4.ความฟุ้งซ่านการปรุงแต่งของจิต
5.ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตัวอุปสรรค์ทั้ง 5 ตัวนี้ หากเราสามารถก้าวข้ามมันไปได้เสมือนมีกำแพงใหญ่ที่ขวางกั้นเราอยู่ ถ้าเราสามารถก้าวข้ามไปได้ หรือทลายกำแพงเหล่านี้ไปได้ ไม่ว่าปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นก็ตามแต่เราก็สามารถก้าวข้ามมันไปได้ ยกตัวอย่างเช่น
1.ความพอใจยินดีในกามคุณทั้ง 5 ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าสิ่งใดๆทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป
2.ความโกรธแค้นขุ่นเคือง พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ทานสูงสุดให้ศาสนาก็คือ อภัยทาน จงให้อภัยกับเพื่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย นอกจากเป็นผลดีกับตัวเราแล้วยังไม่ไปสร้างกรรมต่อไปอีก
3.ความหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วล้วนแต่ต้องประสบพบเจอกับสิ่งเหล่านี้ เป็นของธรรมดา พยายามรับรู้ด้วยความมีสติตามความเป็นจริงของชีวิต
4.ความฟุ้งซ่านปรุงแต่งจิต วิธีที่ดีที่สุดคือ การฝึกสมาธิ ฝึกรู้ลมหาย หรือ การเคลื่อนไหวรู้ตัวอยู่ทุกขณะก็จะทำให้เราลดความฟุ้งซ่านลงได้
5.ความลังเลสงสัย บุคคลจะทำอะไรก็ตามแต่ล้วนต้องอาศัยความเชื่อเป็นเหตุ ความเชื่อในที่คือ ต้องเชื่อในสติปัญญา รู้เห็นถูกต้อง ไม่งมงาย และสามารถพิสูจน์ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น