วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จดหมายถึงตัวเอง


วันนี้ผมได้เปิดคลิป วีดีโอในยูทูปแล้วได้เจอเกี่ยวกับเรื่องของการเล่าเรื่องจดหมายที่เขียนถึงตัวเองไว้  ผมมานั่งนึกมันก็สนุกดีนะครับ  ชีวิตคนเราก็เหมือนละครฉากหนึ่ง เราเป็นทั้งนักแสดง และผู้กำกับเอง แค่คิดมันก็สนุกแล้วครับ วันนีผมขออนุญาติเขียนจดหมายถึงตัวเองสักฉบับนะครับ

       วันอังคาร 4 สิงหาคม 2530  เวลา 00.45 น.  ผมลืมตาดูโลกครั้งแรกครับ  แต่ในใบแจ้งเกิดผมเป็นตอนกลางวันเพราะพ่อผมไปแจ้งผิดเวลาครับ จึงทำให้ข้อมูลผมเกิดตอนกลางวันซะงั้น

        ชื่อแรกของผมคือ พลศักดิ์ พ่อตั้งใจให้ผมใช้ชื่อนี้  แต่ดันไปเจอพระธุดงท่านไม่ให้ผมใช้ชื่อนี้เนื่องจากผมเกิด วันอังคารตามหลักความเชื่อคนเกิดวันนี้จะไม่ให้ใช้ชื่อที่มียศมีศักดิ์ครับ  ผมเลยได้ชื่อจริงว่า "อิธิศักดิ์" มาแทน

         อายุ 1 ขวบ ยายว่าผมเป็นโรค "ตาเหลือง" ตอนแรกคิดว่าผมจะตายแล้ว  สาเหตุเพราะว่าผมร้องไห้บ่อยมากตอนเด็ก  ไม่รู้เป็นอะไรครับยายว่าพอตะวันตกดินปุ๊บผมก็จะร้องไห้ทันที  นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมต้องมาอยู่กับยายตั้งแต่จำความได้เลยครับ  ความรักและความผูกพันกับยายจึงมีอยู่มากทีเดียวครับ

          อายุ 4 ขวบ ผมได้ไปเข้าเรียนที่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครับ  แต่ในที่สุดผมก็ไปไม่รอดเพราะผมไม่ชอบที่นี้เอาซะเลย  เวลาแม่ไปส่งทีไรผมก็แอบหนีกลับบ้านทุกครั้งไป  จนในที่สุดแม่ก็ไม่ให้ผมไปเลย

         อายุ 6 ขวบ  ผมเข้าโรงเรียนอนุบาลครั้งแรก  จำได้ดีเลยครับว่าผมร้องไห้กลับบ้าน ผมมักจะถามตัวเองตลอดว่า ทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี้  วันๆไม่ได้เล่น ไม่ได้ทำอะไรเลย กินเสร็จก็นอน นอนตื่นมาก็กินอีกชีวิตวนอยู่อย่างนี้ มันช่างเบื่อหน่ายเอามากๆ  ผมจำได้ว่าผมถูกตีทุกวัน จนไม่รู้สึกว่าไม้เรียวมันเจ็บเลยครับ

         อายุ 7 ขวบ  ผมอยู่ชั้นประถม 1  และเรียกได้ว่าฉลาดน้อยที่สุดของห้องเพราะผมสอบได้รั้งท้ายของห้องตลอดเลยครับ  ภาษาไทยเรียกว่าไม่เป็นสัปปะรดเลยครับ  ยังจำได้เลยครับว่าคุณครูด่าผมว่า โง่ เนื่องจากผมท่องคำคมเรื่อง  เรารักเมืองไทย ในภาษาไทยชั้น ป.1 ไม่ แต่มันก็ช่างน่าขันนะครับ ทุกวันนี้ผมท่องได้และยังติดอยู่ในใจผมถึงทุกวันนี้

     อายุ 8 ขวบ  วิชาศิลปะผมวาดรูป  เป็นรูปภูเขาจะด้านล่างของภาพ ด้านบนของภาพเป็นทะเลกับท้องฟ้า และดวงอาทิตย์  แต่สิ่งที่ผมถูกคุณครูตำหนิ คือผมโง่  ผมขาดความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีจินตการ ผมยังเด็กจริงๆ ผมอยากอธิบายกับคุณครูมากเลยครับว่า ตอนนั้นผมกำลังจินตนาการว่าผมไปนั่งวาดรุปอยู่บนภูเขามองลงไปจะเป็นทะเลและเห็นท้องฟ้ากับพระอาทิตย์ที่สวยงาม  มันช่างน่าตลกสิ้นดีครับ

         อายุ 9 ขวบ  นักเรียนในยุคผมโตมากับไม้เรียว สมัยนั้นยังไม่มีการยกเลิกให้ใช้ไม้เรียวเหมือนในปัจจุบันเราจะเห็น คุณครูถือไม้เรียวติดตัวตลอดเป็นเรื่องปกติ  แต่ที่น่าแปลกของคุณครูชั้น ป.3 คือ จะให้นักเรียน นำไม้เรียวไปส่งให้ทุกอาทิตย์ของใครใหญ่และสวยจะได้คะแนนมาก  ทุกคนต่างต้องทำไม้เรียวไปส่งคุณครูเพื่อหวังคะแนนที่ดี  ทั้งที่เราก็รู้ๆกันนะครับว่า ไม้เรียวที่เรานำไปให้จะกลับมาตีเราในที่สุด

       อาย 10 ขวบ  ปีนี้เป็นปีที่ผมต้องไปนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์และพักรักษาตัวอยู่บ้านเป็นเดือน สาเหตุเนื่องจาก ผมเป็นไข้เลือดออก และเกเรคือไปเล่นซนแล้วเหยียบกับของมีคมจนนิ้วเท้า (นิ้วก้อย) ผมขาดเป็นสองท่อนเลย  ทุกวันนี้มันต่อกันแล้วครับแต่เล็บก็ยังมีรอยขาดให้เห็นเป็นบทเรียนความเเสบอยู่เลยครับ

        อายุ 13 ขวบ  จำได้ว่าตอนนี้ผมอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วครับ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ผลการเรียนผมดีขึ้นจนน่าตกใจ  ผมสอบได้ที่หนึ่งครับ ตอนนั้นต้องบอกว่าดีใจมากเพราะไม่เคยสอบได้ที่หนึ่ง บางทีผมก็ลองย้อนมองกลับไปในวัยเด็กอาจเพราะตอนมัธยมเราโตขึ้นและวิชาเรียนก็ค่อนข้างเป็นระบบมากกว่าตอนประถมครับ

       อายุ 14 ขวบ  ผมติด 0 วิชาวิทยาศาสตร์  จะบอกว่าเป็นครั้งแรกในบทเรียนชีวิตที่คุณครูได้ให้กับผม  ตอนนี้รู้สึกแย่มากเลยครับ นอนไม่หลับไปหลายวันทีเดียว  แต่พอเวลาผ่านไปผมก็เข้าใจเหตุผลคุณครูครับว่าทำไมเขาถึงให้ผมติด 0 ทั้งที่ผมก็มั่นใจนะครับว่าผมสอบผ่าน (ไม่ใช่ผมไม่เก่งแต่เพราะความเกเรในตอนนั้นของผมเองครับ เขาเลยให้บทเรียนราคาแพงกับผมขอบคุณจริงๆครับ )

         อายุ 15 ปี  ผมได้เป็นประธานหมู่สี ประธานชมรม รองประธานนักเรียน รองประธานห้อง หัวหน้ากลุ่มลูกเสือตอนเข้าค่าย  รู้สึกว่าชีวิตเรามีบทบาทมากขึ้น ช่วงวัยนี้ผมได้รับโอกาสดีจากคุณครูในหลายเรื่องเลยครับ  ทำให้ผมเป็นคนใหม่ ผมมีความกล้ามีความเป็นผู้นำ และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นผมได้รับการยกย่องชื่นชมว่าเก่ง   ทั้งที่ก่อนหน้ายังเคยถูกด่าว่าตัวเองโง่อยู่เลยครับ  ชีวิตมันก็ตลกดีนะครับ และผมก็ได้ชื่อใหม่ด้วยครับ     ใช่ครับผมเปลี่ยนชื่อในการทำบัตรประชาชนครั้งแรกของผมว่า        "พณิเชษฐ"

        อายุ 18 ปี  ผมเริ่มทำงานหลังเลิกเรียนครั้งแรก  ได้พบเห็นชีวิตการทำงานจริงๆ มันเหนื่อยมาก และก็ให้ประสบการณ์ดีๆกับชีวิตผมเยอะมากครับ  ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้  ร้องไห้ ผิดหวังเสียใจ  โดนกลั้นแกล้ง เจอมาสารพัด  แต่ผมก็ดีใจมากนะครับที่ผมผ่านมันมาได้  และทำให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

          อายุ 20 ปี ผมมีโอกาสได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับทางกรมสรรพากร  ซึ่งรวบรวมนักศึกษาจากหลากหลายมหาวิทยาลัย จุดนี้ก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก จากเด็กที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก หรือพูดต่อหน้าไมค์เท่าไหร่ ทำให้ผมกล้าแสดงออกมาขึ้น ไม่กลัวการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ  ช่วงวัยนี้ผมได้ทำกิจกรรมต่างๆมากมาย  ผมเป็นสโมสรนักเรียนนักศึกษา  เป็นประธานชมรม เป็นหัวหน้ากลุ่ม และได้มีโอกาสไปออกค่ายช่วยเหลือเด็กในถ่ิ่นธุระกันดาร  เราได้เห็นความเหลี่ยมล้ำ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความแตกต่าง  เด็กก็คือเด็ก  เขามีความคิดความฝัน เหมือนเช่นเรา  มันเปลี่ยนความคิดในหลายๆมุมผมมากครับจุดนี้

            อายุ 23 ปี ผมเรียนจบแต่เป็นปีที่เศร้าที่สุดในชีวิตผมครับ  ผมเสียยายอันเป็นที่รักของผม  จากไปแบบไมมีวันกลับ ผมร้องไห้เป็นเดือนกว่าที่เราจะทำใจได้  โลกนี้มันช่างไม่น่ายุติธรรมกับผมเลย  ผมคิดแบบนี้จริงๆในตอนนันนะ  หลังจากที่ยายผมเสียผมเหมือนขาดที่พึ่งทางใจไปเลย ผมก็หันหน้าเข้าวัด เข้าวา ฟังธรรมมะ  และเริ่มมองเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า ในท้ายที่สุดเราก็ต้องจากโลกนี้ไป  และช่วงราวๆนี้เช่นกันครับผมก็เปลี่ยนชื่อใหม่ครับ เป็น "วรดร"

         อายุ 24 ปี  เป็นปีที่ผมเจ็บปวดมากครับ  ผมผิดหวังจากเรื่องการทำงาน เรียกว่าล้มเหลวในชีวิตการทำงานทำให้ผมต้องตัดสินใจลาออก  ซ้ำร้ายยังไม่พอพ่อผมป่วยหนักอีก เป็นโรคตับ ชีวิตผมช่วงนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ  ความกังวลกับครอบครัว งาน และอนาคตของตัวเองไปหมด ผมทำอะไรไม่ถุกเลยครับในตอนนั้น  เอาแต่โทษว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับตัวเราด้วย เราทำกรรมอะไรไว้ เราทำอะไรผิดเหรอ   ผมไปบวชพระเป็นเวลา 1 เดือน ช่วงเวลา 1 เดือนนี้จิตใจผมสงบขึ้นมาเยอะมากครับ แต่แผลทางใจก็ยังไม่ได้หายขาด

          อายุ 26 ปี  ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น เนื่องจากการผิดหวังจากหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว ทำให้ผมมองโลกแคบขึ้น  ผมกลายเป็นคนโกธรง่าย อารมณ์เสียและยิ้มยาก  ทุกอย่างดูเหมือนไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิด  ผมไม่มีความสุขในชีวิตเอาซะเลย และยิ่งผมคิดแบบนี้โลกก็กลับดึงดูดแต่คนไม่ดี  คนที่คิดในแบบผมเข้ามาหาผมเยอะมาก  แต่ผมยังโชคดีที่มีเพื่อนที่น่ารัก และจริงใจกับผมต้องขอบคุณพวกเขาจริงๆที่อยู่ข้างผม

          อายุ 28  ปี ตอนนี้จิตใจผมดีขึ้นมากแล้วครับ  หลังจากที่หันมาให้เวลากับตัวเองมากขึ้น เข้าวัด ฟังธรรม นั่งสมาธิผมสามารถควบคุมจิตใจ และอารมณ์ของผมได้ดีขึ้น  และความปรารถนาและเป้าหมายที่มันดูจะเลื่อนลางไปแล้วกลับจุดประกายผมขึ้นมาอีกครั้ง  ผมเชื่อและศรัทธาอย่างมุ่งมั่นครับว่ามันต้องสำเร็จ และผมก็ทำม้นได้  ชีวิตช่วงนี้ผมให้เวลากับการฝึกฝนพัฒนาตัวเองในหลายๆด้าน ทั้งความรู้ ความคิด ทัศนคติ การมองโลก และอื่นๆอีกมากมาย  แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น ปีนี้แม่ผมป่วยเป็น มะเร็ง ครับถ้าย้อนไปตอนสองปีก่อน  ผมคงประสาทกินเป็นแน่แท้แต่ด้วยเราผ่านเรื่องราวร้ายๆมาเยอะมาก  จึงทำให้ผมเข็มแข็งขึ้นมาได้  ไม่ว่าจะเจอกับหัวหน้างานกลั้นแกล้ง แต่พวกเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้  นั่นเพราะเรามองโลกในแง่บวกนั้นเอง

       อายุ 29 ปี  ผมก็ตัดสินใจลาจากเมืองหลวงอันเป็นที่ผมปรารถนาเรียกร้องอยากมาใช้ชีวิต  และกลับมาใช้ชีวิตในต่างจังหวัดในแบบฉบับดั้งเดิม  ไม่ใช่ว่าผมทิ้งความฝันนะครับ ผมยังมีฝันและมีไฟแห่งความปรารถนาอย่างแรงกล้าอยู่  แต่มุมมองผมเปลี่ยนไป  ผมได้แต่นั่งคิดว่าผมไปทำอะไรในเมืองหลวงเป็นเวลาหลายปี  โดยที่ผมไม่ได้อะไรเลย หน่ำซ้ำชีวิตผมกับรู้สึกว่ามันยุ่งยากเหลือเกิน และดูจะห่างไกลจากเป้าหมายที่ผมวางเอาไว้มากทีเดียว  และจุดเปลี่ยนอีกครั้งก็เริ่มต้นขึ้นด้วยชื่อใหม่ของผม "กฤษณะ"

ชีวิตในต่างจังหวัด และต่างแดนของผมมันช้าจริงๆครับ  ทุกอย่างดูเรียบง่ายไปหมด  ผมมีเวลามากขึ้น ผมกินอิ่มนอนหลับ  ความกังวลใจในเรื่องต่างๆของผมหายไปหมด และที่สำคัญผมมีเวลาทำอะไรมากขึ้น  โดยที่ตัวผมไม่เครียด และไม่กังวลกับเลย  ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้น  และที่สำคัญผมมีความสุข  เราเอาแต่โหยหาจากข้างนอก แท้จริงมันอยู่ที่ตัวเรา ครอบครัวเรา  ชีิวิตที่สุขจริงมันอยู่แค่นี้เองครับ  เงินทองชื่อเสียง เป็นสิ่งภายนอกที่เราต้องสร้างเพื่อที่จะนำสิ่งนั้นสร้างประโยชน์ให้กับตัวเราและผู้คนอื่น  เป็นการส่งต่อไปเรื่อยๆ

นี่แหละครับที่ผมอยากจะเขียนให้กับตัวผมเอง  ผมอยากของคุณเขาเหลือเกินว่าไม่ว่าจะเหตุการณ์เรื่องราวหนักหนาแค่ไหน  แต่ผมก็ยังคิดบวกและขอบคุณตัวเองที่ยังพยายามที่จะพาผมไปในจุดที่ดีที่สุดเสมอ  ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอสิ่งใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ ผู้คน และสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิตผม  ขอบคุณตัวเองจริงๆครับ  ที่ยังหายใจไปด้วยกัน  ไม่ว่าจะเหนื่อย ท้อ ทำให้ร่างกายพังมาไม่รู้กี่หน แต่เขาก็ยังสร้างภูมิคุ้มกันให้เราตลอด ไม่ว่าจะทั้งทางกายและจิตใจ ขอบคุณจริงๆนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

กล้าที่จะแตกต่างและเป็นตัวเอง

เรียกว่าห่างหายกันไปนานมากเลยครับ  ช่วงที่ไปพักกายพักจิตใจ  ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า  อะไรที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตของเรากันแน่   คนบางคนผ...