สามสิ่งนี้ทุกคนล้วนมีด้วยกันทั้งนั้นครับ ขึ้นอยู่ว่าจะมีมากหรือน้อย แต่ทั้งนี้ทั้งเราไม่สามารถกำหนดให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้หมดหรอกครับ ทางที่ดีควรหาจุดตรงกลางที่มันพอดีกับชีวิตของเรา ผมว่ายิ่งเราโตขึ้น ประสบการณ์เรามากขึ้น เรามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมให้เราเป็นเราได้ในทุกวันนี้
เราอาจจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ แต่เราก็สามารถที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่โลกได้ให้กับเราได้ ด้วยความสุขที่สุด การมองหาความสุขจากสิ่งที่มันใกล้ตัวก่อน อย่าไปคาดหวังกับสิ่งที่โลกไปกำหนดค่ามันว่านี่แหละคือความสุข เมื่อคุณได้เป็น ได้มีสิ่งนั่น สิ่งนี่ตามแต่สังคมได้ระบุไว้ เมื่อก่อนอายุสามสิบ ผมคิดว่าเราควรใช้ชีวิตให้สนุกกับมัน พร้อมที่จะเรียนรู้และกล้าที่จะเสี่ยงกับเรื่องต่างๆ เพื่อเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต แต่พออายุหลังสามสิบขึ้น ควรฝึกให้ชีวิตได้หยุดบ้าง หยุดในที่นี้ไม่ได้หมายความไม่ทำอะไรนะครับ ผมหมายถึงการทบทวนกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ แล้วกำหนดให้แน่นอนว่า คุณต้องการทำอะไรกับชีวิตกันแน่ แล้วโฟกัสมันอย่าไปกลัว นั่งคิดว่าทุกอย่างมันจะต้องสมบูรณ์แบบ โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกครับ
ทุกอย่างมันต้องอาศัยเวลา ค่อยๆปรับ ค่อยๆแก้ไขกันไป ในที่สุดมันก็จะดีเอง บางทีพอนึกย้อนไปในอดีตก็อดขำตัวเองไม่ได้นะครับ รู้สึกตัวเองเป็นทุกข์ใจไปทุกเรื่องเลย ทั้งที่มันแค่เล็กน้อยไม่ควรเอามาคิดกับต้องเอามาคิดจนนอนไม่หลับ พอโตขึ้นถึงรู้ว่า เออนะมันก็แค่นั้นเอง การยกระดับจิตใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าความรู้ทางโลกอีกครับ ความรู้ทางโลกเราใช้ในการประกอบอาชีพ แต่ความรู้ทางจิตวิญญาน มันจะอยู่กับเราไปเรื่อยและต้องพัฒนาขึ้นไป เพื่อยกระดับมันไปอีก
เราจะเป็นอย่างที่เราคิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจงระวังความคิดของเราให้ดี ต้องเชื่อมันในพลังแห่งความคิดในทางบวก แล้วมันจะชักนำพลังงานบางอย่างเข้าหาตัวเราเอง ตอนนี้เราอาจนึกไม่ออก แต่เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะเฉลยออกมาเองครับ ขอบคุณสิ่งๆดีๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกับไปได้ อยู่ในที่ๆเหมาะสมกับเรา มีเวทีให้เราได้ใช้แสดงความสามารถอย่างเต็ม เมื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนแน่นก็พร้อมที่จะออกมาลุยตามความฝันของคุณได้แล้วครับ ผมเอาใจช่วยสำหรับคนที่มีฝันทุกคน อย่าหยุดฝัน และอย่าให้ใครมาดับฝันคุณไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น