ช่วงที่จิตใจคุณว้าวุ่นกับอะไรบางอย่าง กำลังสับสน มีความไม่มั่นคงทางด้านจิตใจเท่าที่ควร นั่นกำลังแสดงให้เห็นว่า มีบางอย่างที่เราต้องเริ่มชัดเจนกับตัวเอง เราต้องให้เวลากับตัวเองแล้วละครับ คนเราบางทีการวิ่งเร็วจนเกินไป ก็อาจทำให้เราหกล้มไม่เป็นท่าได้ ค่อย ๆ ไปเดี๋ยวก็ถึงได้เช่นกัน
ผมมานั่งทบทวนตลอดเวลาที่ผ่านมานะครับ ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามการบริโภคข่าวสาร ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั่นแหละ โลกก็ยังเหมือนเดิม แต่ความคิดเรานั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงไปตามการรับรู้ เราไม่อาจปฎิเสธได้จริง ๆ โดยเฉพาะบางที ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ หาไม่มันอาจส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบโลกสวย แบบคนหน้าบางว่า มนุษย์เราต้องเป็นคนดี ทั้งฉากหน้าและฉากหลัง แต่ในวงการธุรกิจมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปซะหมด
กฎไกลบางอย่างที่ซับซ้อน เราไม่สามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ยุคนี้ได้ เพราะมันเต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สิ้นสุด เราไม่อาจคาดเดาว่าคนที่เราเชื่อใจ จะอยู่ข้างเราได้เสมอไป เพราะไม่แน่ว่าเมื่อผลประโยชน์เขามาเกี่ยวข้อง เขาอาจจะเปลี่ยนใจจากเราได้เสมอ ทุกคนต่างก็ต้องการได้รับสิ่งที่สุดที่สุด เพราะนั่นแหละคือ มนุษย์ ฟังดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องความเห็นแก่ตัวอะไรหรอกครับ แต่คนไทยเราถูกสอนมาแบบนี้ เลยทำให้เรากลายเป็นคนขี้เกรงใจ และมองว่าหากตัวเองถูกกระทำแบบนี้ คือ โดนรังแก และถูกเอาเปรียบ
แท้ที่จริงมันคือ ความเป็นจริงของโลก ใครที่มีอำนาจต่อรองมากกว่า ผู้นั้นก็คือคนที่อยู่เหนือกว่าเท่านั้นเอง สิ่งที่มนุษย์ทำได้ก็คือ เราต้องรู้จักการปรับตัวในการดำรงชีวิตอยู่ แบบชาญฉลาด รู้ทันเหตุการณ์ และทันผู้คน เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ หรือหากต้องตกเป็นรองเราก็จะได้เสียเปรียบได้น้อยที่สุด นี่แหละโลกของความเป็นจริง
คนไทยเป็นคนที่อ่อนไหวกับบางเรื่องค่อนข้างมาก และจะกลัวการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งใหม่ พอจะทำอะไรก็ตามแต่ สิ่งแรกที่มองออกมาก่อนว่า
"จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่" เรามองอะไรที่เป็นระยะสั้นจนเกินไป เราถูกฝึกสอนแค่ให้คิดถึงแค่
"กำไรและขาดทุน" แท้ที่จริงนะครับ ผมอยากให้คนไทยเราคิดให้ลึกกว่านั้น มองข้ามเรื่องตัวเลขเหล่านี้ไปก่อน แต่ให้ไปโฟกัสในระยะยาวที่เราจะได้ และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะบางทีการที่เราไปตัดสินอะไรจากระยะสั้น มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทะเลาะกันและจบไม่สวย
พอเราโตขึ้นเราเรียนรู้กฎไกลบางอย่างที่มันซับซ้อนขึ้นทุกที จนเราห่างไกลกับความเป็นธรรมดาไปมาก เรากลับดูทนงตัวเองมากขึ้น แต่กลับกัน นับวันเรายิ่งห่างไกลจากความเป็นตัวตนของเราไปมากขึ้น เราลืมเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตเรา เราลืมไปว่าเรามาจุดนี้เพื่ออะไร อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำ และจะไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการได้อย่างไร การให้เวลากับตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
เริ่มยังไงเหรอครับ เริ่มจาก...กลับมาที่จุดที่คุณเริ่มต้นแรก ๆ ผมไม่ได้ให้คุณถอยไปจุดเริ่มต้นแบบนั้น หมายถึงการทบทวนว่าเรามาที่นี้ตั้งแต่แรกเพราะอะไร เราต้องการอะไรจากที่ที่เราเป็นอยู่ ใช้เวลาทบทวนและอยู่กับตัวเราเองให้มาก ๆ เลิกติดตามข่าวสารบ้างก็ได้ ให้ใจเรามันได้พักจริง ๆ จากเรื่องวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตของเรา ตัดเรื่องกังวลและเรื่องที่เข้ามารบกวนจิตใจเราออกไปให้หมด
จิตคนเรานะครับ พอมันเริ่มนิ่งมันก็จะเหมือนน้ำที่ใสสะอาด เราจะเห็นความจริงบางอย่าง เราจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้น มันคือความต้องการที่แท้จริงของเรา มนุษย์เราไม่สามารถปฎิเสธความต้องการที่มันอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเราได้หรอก เพราะในท้ายที่สุด มันจะกลับมารบกวนจิตใจเราอยู่นั่นแหละ ถ้าหากว่าเรายังทำมันไม่สำเร็จ
เพราะมันคือ "จิตใต้สำนึก" ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นเราต้องยอมรับในความต้องการนั่น แบบตรงไปตรงมา พอเราเริ่มเข้าใจมัน และปรับตัวกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราได้ ก็จะมีพลังงานบางอย่างส่งมาที่เรา พลังงานนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคน มันซ่อนอยู่และจะผลักดันให้เราทำอะไรบางอย่าง และคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับตัวเราเอง
ผมเรียกมันว่า "สติ" มันอยู่กับเรามาทั้งชีวิต เพียงแต่เราไม่เคยที่จะศึกษาและทำความเข้าใจกับมันต่างหาก
ในท้ายที่สุดของชีวิตมนุษย์ ต่อให้เราจะร่ำรวย สูงส่งขนาดไหน หรือว่าเราจะกลายเป็นผู้มีอำนาจบารมีมากมายแค่ไหน ถ้าหากเราไม่เขาใจในพลังงานตัวนี้ ก็ยากที่เราจะควบคุมตัวเราเองได้ ผลเสียของการควบคุมมันไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นปีศาจที่ฆ่าตัวเราไปทีละน้อย รอความตายเพื่อให้ยมฑูตมาพรากวิญญานอันไม่บริสุทธิ์ของเราไปเอง ชีวิตมันอยู่ที่เราเลือก เราจะเป็นผู้ควบคุมมันหรือให้มันมาควบคุมเรา เพราะฉะนั้นจงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีสติครับ